วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานที่2

ความหมายของBlog

ความหมายของ Blog
Blog คืออะไร
Blog คืออะไร
September 30, 2005 at 12:44 am · Filed under ความรู้เรื่อง Blog
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น
WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
ที่มา
http://www.keng.com/?

วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานชิ้นที่2.2

ซอฟท์แวร์ คืออะไร ?


ความจำเป็นของการใช้ซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์ (software) หมายถึงชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ใช้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงหมายถึงลำดับขั้นตอนการทำงานที่เขียนขึ้นด้วยคำสั่งของคอมพิวเตอร์ คำสั่งเหล่านี้เรียงกันเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากที่ทราบมาแล้วว่าคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่ง การทำงานพื้นฐานเป็นเพียงการกระทำกับข้อมูลที่เป็นตัวเลขฐานสอง ซึ่งใช้แทนข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร รูปภาพ หรือแม้แต่เป็นเสียงพูดก็ได้
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์จึงเป็นซอฟต์แวร์ เพราะเป็นลำดับขั้นตอนการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งทำงานแตกต่างกันได้มากมายด้วยซอฟต์แวร์ที่แตกต่างกัน ซอฟต์แวร์จึงหมายรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทุกประเภทที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้
การที่เราเห็นคอมพิวเตอร์ทำงานให้กับเราได้มากมาย เพราะว่ามีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์มาให้เราสั่งงานคอมพิวเตอร์ ร้านค้าอาจใช้คอมพิวเตอร์ทำบัญชีที่ยุ่งยากซับซ้อน บริษัทขายตั๋วใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในระบบการจองตั๋ว คอมพิวเตอร์ช่วยในเรื่องกิจการงานธนาคารที่มีข้อมูลต่าง ๆ มากมาย คอมพิวเตอร์ช่วยงานพิมพ์เอกสารให้สวยงาม เป็นต้น การที่คอมพิวเตอร์ดำเนินการให้ประโยชน์ได้มากมายมหาศาลจะอยู่ที่ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึงเป็นส่วนสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ หากขาดซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถทำงานได้ ซอฟต์แวร์จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และมีความสำคัญมาก และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ระบบสารสนเทศเป็นไปได้ตามที่ต้องการ
เมื่อมนุษย์ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงาน มนุษย์จะต้องบอกขั้นตอนวิธีการให้คอมพิวเตอร์ทราบ การที่บอกสิ่งที่มนุษย์เข้าใจให้คอมพิวเตอร์รับรู้ และทำงานได้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีสื่อกลาง ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตประจำวันแล้ว เรามีภาษาที่ใช้ในการติดต่อซึ่งกันและกัน เช่นเดียวกันถ้ามนุษย์ต้องการจะถ่ายทอดความต้องการให้คอมพิวเตอร์รับรู้และปฏิบัติตาม จะต้องมีสื่อกลางสำหรับการติดต่อเพื่อให้คอมพิวเตอร์รับรู้ เราเรียกสื่อกลางนี้ว่าภาษาคอมพิวเตอร์
เนื่องจากคอมพิวเตอร์ทำงานด้วยสัญญาณทางไฟฟ้า ใช้แทนด้วยตัวเลข 0 และ 1 ได้ ผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ใช้ตัวเลข 0 และ 1 นี้เป็นรหัสแทนคำสั่งในการสั่งงานคอมพิวเตอร์ รหัสแทนข้อมูลและคำสั่งโดยใช้ระบบเลขฐานสองนี้ คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ เราเรียกเลขฐานสองที่ประกอบกันเป็นชุดคำสั่งและใช้สั่งงานคอมพิวเตอร์ว่าภาษาเครื่อ
การใช้ภาษาเครื่องนี้ถึงแม้คอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ทันที แต่มนุษย์ผู้ใช้จะมีข้อยุ่งยากมาก เพราะเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีผู้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ภาษาในลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ภาษาระดับสูงมีอยู่มากมาย บางภาษามีความเหมาะสมกับการใช้สั่งงานการคำนวณทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ บางภาษามีความเหมาะสมไว้ใช้สั่งงานทางด้านการจัดการข้อมูล
ในการทำงานของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง ดังนั้นจึงมีผู้พัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับแปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่ใช้แปลภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเรียกว่า คอมไพเลอร์ (compiler) หรืออินเทอร์พรีเตอร์ (interpreter)
คอมไพเลอร์จะทำการแปลโปรแกรมที่เขียนเป็นภาษาระดับสูงทั้งโปรแกรมให้เป็นภาษาเครื่องก่อน แล้วจึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามภาษาเครื่องนั้น
ส่วนอินเทอร์พรีเตอร์จะทำการแปลทีละคำสั่ง แล้วให้คอมพิวเตอร์ทำตามคำสั่งนั้น เมื่อทำเสร็จแล้วจึงมาทำการแปลคำสั่งลำดับต่อไป ข้อแตกต่างระหว่างคอมไพเลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึงอยู่ที่การแปลทั้งโปรแกรมหรือแปลทีละคำสั่ง ตัวแปลภาษาที่รู้จักกันดี เช่น ตัวแปลภาษาเบสิก ตัวแปลภาษาโคบอล
ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์จึงเป็นส่วนสำคัญที่ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ดำเนินการตามแนวความคิดที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว คอมพิวเตอร์ต้องทำงานตามโปรแกรมเท่านั้น ไม่สามารถทำงานที่นอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในโปรแกรม
ในบรรดาซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีผู้พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานกับคอมพิวเตอร์มีมากมาย ซอฟต์แวร์เหล่านี้อาจได้รับการพัฒนาโดยผู้ใช้งานเอง หรือผู้พัฒนาระบบ หรือผู้ผลิตจำหน่าย หากแบ่งแยกชนิดของซอฟต์แวร์ตามสภาพการทำงาน พอแบ่งแยกซอฟต์แวร์ได้เป็นสองประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) และซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)
  • ซอฟต์แวร์ระบบ คือซอฟต์แวร์ที่บริษัทผู้ผลิตสร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดการกับระบบ หน้าที่การทำงานของซอฟต์แวร์ระบบคือดำเนินงานพื้นฐานต่าง ๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น รับข้อมูลจากแผงแป้นอักขระแล้วแปลความหมายให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ นำข้อมูลไปแสดงผลบนจอภาพหรือนำออกไปยังเครื่องพิมพ์ จัดการข้อมูลในระบบแฟ้มข้อมูลบนหน่วยความจำรอง
  • เมื่อเราเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันทีที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จะทำงานตามโปรแกรมทันที โปรแกรมแรกที่สั่งคอมพิวเตอร์ทำงานนี้เป็นซอฟต์แวร์ระบบ ซอฟต์แวร์ระบบอาจเก็บไว้ในรอม หรือในแผ่นจานแม่เหล็ก หากไม่มีซอฟต์แวร์ระบบ คอมพิวเตอร์จะทำงานไม่ได้
    ซอฟต์แวร์ระบบยังใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาซอฟต์แวร์อื่น ๆ และยังรวมไปถึงซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการแปลภาษาต่าง ๆ
  • ซอฟต์แวร์ประยุกต์ เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้กับงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง ปัจจุบันมีผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ใช้งานทางด้านต่าง ๆ ออกจำหน่ายมาก การประยุกต์งานคอมพิวเตอร์จึงกว้างขวางและแพร่หลาย เราอาจแบ่งซอฟต์แวร์ประยุกต์ออกเป็นสองกลุ่มคือ ซอฟต์แวร์สำเร็จ และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นใช้งานเฉพาะ ซอฟต์แวร์สำเร็จในปัจจุบันมีมากมาย เช่น ซอฟต์แวร์ประมวลคำ ซอฟต์แวร์ตารางทำงาน ฯล

การ<wbr>แบ่ง<wbr>ชนิด<wbr>ของ<wbr>ซอฟต์แวร์<wbr>
คอมพิวเตอร์ประกอบด้วย หน่วยรับเข้า หน่วยส่งออก หน่วยความจำ และหน่วยประมวลผล ในการทำงานของคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีการดำเนินงานกับอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็น ดังนั้นจึงต้องมีซอฟต์แวร์ระบบเพื่อใช้ในการจัดการระบบ หน้าที่หลักของซอฟต์แวร์ระบบประกอบด้วย
  1. ใช้ในการจัดการหน่วยรับเข้าและหน่วยส่งออก เช่น รับการกดแป้นต่าง ๆ บนแผงแป้นอักขระ ส่งรหัสตัวอักษรออกทางจอภาพหรือเครื่องพิมพ์ ติดต่อกับอุปกรณ์รับเข้า และส่งออกอื่น ๆ เช่น เมาส์ อุปกรณ์สังเคราะห์เสียง
  2. ใช้ในการจัดการหน่วยความจำ เพื่อนำข้อมูลจากแผ่นบันทึกมาบรรจุยังหน่วยความจำหลัก หรือในทำนองกลับกัน คือนำข้อมูลจากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ในแผ่นบันทึก
  3. ใช้เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น การขอดูรายการสารบบในแผ่นบันทึก การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล
ซอฟต์แวร์ระบบพื้นฐานที่เห็นกันทั่วไป แบ่งออกเป็นระบบปฏิบัติการ และตัวแปลภาษา ซอฟต์แวร์ทั่งสองประเภทนี้ทำให้เกิดพัฒนาการประยุกต์ใช้งานได้ง่ายขึ้น

ซอฟท์แวร์ประยุกต์
การที่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการที่มีคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ทำให้มีการใช้งานคล่องตัวขึ้น จนในปัจจุบันสามารถนำคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ติดตัวไปใช้งานในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก
การใช้งานคอมพิวเตอร์ต้องมีซอฟตืแวร์ประยุกต์ ซึ่งอาจเป็นซอฟต์แวร์สำเร็จที่มีผู้พัฒนาเพื่อใช้งานทั่วไปทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้น หรืออาจเป็นซอฟต์แวร์ใช้งานเฉพาะ ซึ่งผู้ใช้เป็นผู้พัฒนาขึ้นเองเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการทำงานของตน
ซอฟท์แวร์และภาษาคอมพิวเตอร์
ชนิดของซอฟต์แวร์
ซอฟท์แวร์ระบบ

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานชิ้นที่2

1. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

 "อินเทอร์เน็ต" หรือที่เรามักเรียกกันย่อๆ ว่า "เน็ต" นั้น เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เชื่อมคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่อยู่ในประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน เริ่มแรกพัฒนาเพื่อปฏิบัติภารกิจทางการทหารในสหรัฐฯ ปัจจุบันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการให้บริการต่างๆ เช่น อีเมล์ เทลเน็ต ไออาร์ซี เป็นต้น โดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีคนรู้จักมากที่สุด ก็คือเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)
                    หลายคนมักสับสนคิดว่า "อินเตอร์เน็ต" กับ "เวิลด์ไวด์เว็บ"  เป็นตัวเดียวกันความจริงแล้ว "เวิลด์ไวด์เว็บ" เป็นเพียงบริการหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตเท่านั้น พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 มีลักษณะเด่นคือ ความสามารถในการเชื่อมเอกสารหลายไฟล์เข้าด้วยกันผ่านทางตัวเชื่อมหรือไฮ เปอร์เท็กซ์ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ลิงก์") ขณะนี้เวิลด์ไวด์เว็บกลายเป็นช่องทางทำธุรกิจที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่ง ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์บริษัท และเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า แนะนำบริการ โฆษณา ฯลฯ
                    "เว็บเพจ" คือหน้าเอกสารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมากภาษาที่ใช้เป็นโครงสร้างหลักสำหรับเว็บเพจ คือ HTML (Hyper Text Markup Language) นอกจากนี้ยังมีจาวาสคริปต์ และแคสเคดดิ้ง สไตล์ชีต ที่นิยมใช้เพื่อช่วยจัดหน้าเว็บเพจให้สวยงามและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ดีขึ้น หน้าเอกสารทุกหน้าเราจะเรียกว่า เป็นเว็บเพจได้ทั้งหมด ไม่ว่าหน้านั้นๆ จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใดก็ตาม เมื่อรวมหลายเว็บเพจเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นเว็บไซต์ "เว็บไซต์" เป็นชื่อเรียกเว็บเพจหลายๆ หน้าที่อยู่ภายใต้เว็บแอสเดรสเดียวกัน โดยในหนึ่งเว็บไซต์จะมีจำนวนเว็บเพจกี่หน้าก็ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่ว่าเว็บเพจทั้งหมด อยู่ภายใต้ที่อยู่เดียวกันเช่น www.doae.go.th (เว็บไซต์นอกจากจะมีเว็บเพจแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ ประกอบได้ เช่น ฐานข้อมูล ไฟล์สคริปต์ เป็นต้น)
                    "โฮมเพจ" หมายถึง เว็บเพจหน้าแรกของเว็บไซด์หนึ่งๆ ก็คือ เมื่อคุณพิมพ์เว็บแอดเดรส ของเว็บไซด์ใดๆ ลงไป เช่น www.doae.go.th หน้าเว็บเพจแรกทีโหลดขึ้นมาเราเรียกว่า เป็นหน้า โฮมเพจ โดยมากชื่อไฟล์ที่เป็นหน้าโฮมเพจจะใช้ชื่อว่า index.html หรือ index.htm คนไทยหลายคนนิยมเรียกหน้าโฮมเพจว่า "หน้าบ้าน"
                    ปัจจุบันมีหลายคนที่มักสับสนกับการใช้คำว่า เว็บเพจ เว็บไซด์ และโฮมเพจ โฆษณาหลายแห่งลงประกาศรับจ้างสร้างโฮมเพจ ถ้าแปลกันตรงๆ หมายถึงว่า เขารับจ้างสร้างกันแค่หน้าโฮมเพจ หน้าเดียว หน้าเว็บเพจอื่นๆ ไม่รับ? บางคนใช้เว็บไซด์แทนเว็บเพจ ใช้โฮมเพจแทนเว็บไซด์ ปนกันไป อย่างไรก็ดีคนไทยหลายคนคุ้นเคยกับคำว่า โฮมเพจ มากกว่า เว็บเพจ ดังนั้นการสื่อสารกับคนไม่เข้าใจบางครั้งต้องระวัง หากต้องการจะสื่อกันให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว อาจต้องใช้คำว่า โฮมเพจ แต่หากจะให้เข้าใจและเรียกได้อย่างถูกต้อง คงต้องมานั่งอธิบายข้อแตกต่างระหว่างคำทั้งสองคำให้กับบุคคลนั้นๆ ฟัง
สร้างเว็บเพจยากเหมือนกับการเขียนโปรแกรมหรือไม่ ?
  
                 หลาย คนกลัวการเขียนโปรแกรม บางคนเคยศึกษามาแต่ไม่รู้เรื่อง บางคนไม่เคยสัมผัส แต่ก็ได้ยินเขาเล่ามาว่า มันยากก็เลยนึกกลัวไปด้วย การสร้างเว็บเพจด้วยตัวเอง รับประกันได้เลยว่าง่ายและเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าการเขียนโปรแกรมมาก เพียงมีเวลาให้สักหนึ่งวันก็สามารถจะสร้างเว็บเพจได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือภาษาที่ใช้สำหรับการจัดทำเว็บเพจก็ใช้งานได้ง่ายดาย คำสั่งของภาษา HTML ที่ใช้โดยมากสื่อความหมายได้ดี และถ้าหากพอจะมีความรู้ในด้านเวิร์ดโพรเซสซิ่งมาบ้าง ก็น่าจะเข้าใจคำสั่งโปรแกรมการสร้าง HTML ได้โดยไม่ลำบากมากนัก ตัวอย่างเช่น <B> หมายถึง Bold ใช้สร้างตัวหนา, <P> หมายถึง Paragraph ใช้แบ่งย่อหน้า, <FONT> นี่ใช้ตรงๆ ตัว ใช้สำหรับจัดการเกี่ยวกับรูปแบบอักษร หรือ <TABLE> ใช้สำหรับสร้างตาราง เป็นต้น
                    ลักษณะของภาษา HTML ที่ใช้สร้างโครงสร้างของเว็บเพจนั้น เป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ใช้เวลาไม่น่าเกินสองสัปดาห์ก็เรียนรู้คำสั่งได้เกือบทั้งหมด ตัวภาษา HTML เองจะมีลักษณะพิเศษ คือคำสั่งทุกตัวต้องถูกเก็บอยู่ในเครื่องหมาย < และ > เช่น <FONT> โดยคำสั่งส่วนใหญ่ต้องมีตัวปิดท้ายด้วย โดยเติมเครือ่งหมาย / เพิ่มเข้าไป เช่น </FONT> ดังนั้นสมมุติว่าเราต้องการสร้างตัวหนา ก็เพียงแค่ใส่ <B> และ </B> ปิดหัวท้ายข้อความที่ต้องการทำให้เป็นตัวหนา เช่น <B> ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์กรมส่งเสริมการเกษตร </B> เป็นต้น
                    อย่างไรก็ดี ความยากในการเขียนเว็บเพจนั้นอยู่ที่การนำเอาคำสั่ง HTML มาใช้ร่วมกันให้ได้ หน้าเว็บเพจที่ลงตัว สวยงามและใช้งานง่ายๆ แค่สร้าง ใครๆ ก็ทำได้ แต่สร้างให้ดีอันนี้คงต้องใช้เวลา นอกจากนี้ในปัจจุบันเว็บเพจมีความซับซ้อนมากขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจมีเพิ่มมากขึ้น ที่กำลังได้รับความนิยม คือ CSS (Cascading Style Sheet) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการออกแบบสไตล์ของเว็บเพจ เช่น สีอักษร ระยะห่างบรรทัด ชนิดฟอนท์ เส้นขอบตาราง ฯลฯ โดย CCS จะเข้ามาทำหน้าที่แทนคำสั่งบางคำสั่งของ HTML (คาดว่านักออกแบบเว็บ จะใช้ CSS อย่างเต็มที่อีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า) อีกตัวหนึ่งที่แรงมานานก่อนหน้า CSS ก็คือ จาวาสคริปต์ ใช้สำหรับสร้างลูกเล่นให้กับเว็บเพจ เช่น สร้างกรอบโต้ตอบ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ คำสั่งจาวาสคริปต์มีมากกว่า HTML พอสมควร ยากกว่า และต้องใช้เวลาศึกษามากว่า พื้นฐานโครงสร้างของจาวาสคริปต์มาจากภาษาซี แต่เป็นภาษาซีแบบกลายพันธุ์ มีประสิทธิภาพด้อยกว่า ไม่ต้องคอมไพล์ แต่เขียนเป็นลักษณะสคริปต์แทน (คล้าย HTML แต่ดูสับสนกว่านิดหน่อย)
                    สรุปก็คือ โดยรวมไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS หรือจาวาสคริปต์ ทั้งหมดรับรองได้ว่าไม่ยากเท่ากับการเขียนโปรแกรมแน่นอน ตัวโครงสร้างของภาษา สำหรับเว็บเหล่านี้มีความยืดหยุ่นกว่าภาษาโปรแกรมมิ่งในหลายๆ ด้าน เรียนง่ายและเป็นเร็ว หากใครยังคงกลัวว่ามันจะยาก ก็ลองเข้าไปสัมผัสมันดูสักระยะแล้วจะทราบความจริงว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด
จะสร้างเว็บเพจต้องเตรียมการอะไรบ้าง?
  
                 ถ้า เอาแบบพื้นๆ ก็มีอยู่เพียงสองอย่าง คือ เครื่องมือสำหรับสร้างเว็บเพจ และบราวเซอร์สำหรับแสดงผล แต่หากจะให้ครบถ้วนทั้งหมดคงต้องเพิ่มคู่มือคำสั่ง ตารางสี โปรแกรมตกแต่งภาพ ฯลฯ แล้วแต่ว่าสิ่งที่คุณจะทำมีอะไรบ้าง
                    บราวเซอร์ที่ใช้ควรเป็นบราวเซอร์รุ่นที่มีคนนิยมใช้กันมาก เช่น IE 4.x, IE 5.X, Netscape 4.X เป็นต้น ส่วนจะชอบตัวไหนเป็นพิเศษคงไม่มีผลเท่าไรกับเว็บเพจแบบพื้นๆ แต่หากเป็นเว็บที่ซับซ้อนมากขึ้น การแสดงผลของบราวเซอร์แต่ละตัวอาจแตกต่างกัน ดังนั้นทางที่ดีควรจะมีบราวเซอร์ดังๆ ติดตั้งไว้ในเครื่องให้ครบ
                    ส่วนเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บนั้นหากจะใช้การเขียนด้วยภาษา HTML และเป็นคนที่เพิ่งศึกษาครั้งแรก แนะนำให้ใช้โน้ตแพ็ดที่ติดมากับวินโดวส์จะดีที่สุด หัดกันตั้งแต่เขียนโค้ด HTML ด้วยตัวเอง ยอมเสียเวลาเพียงแค่ไม่เกิน 2 สัปดาห์หรือ ไม่น่าเกิน 20 ชั่วโมง น่าจะศึกษาคำสั่งที่จำเป็นได้ครบทั้งหมด สำหรับเครื่องมือที่ใช้เขียนโค้ดด้วยตัวเองก็มีตั้งแต่โน้ตแพด เวิร์ดแพด ไมโครซอฟต์เวิร์ด หรือโปรแกรมเวิร์ด โพรเซสซิ่งอื่นๆ เพียงแค่เลือกบันทึกให้เป็นส่วนขยาย .html ก็ใช้ได้แล้ว ขอแนะนำพิเศษให้ตัวหนึ่งคือ EditPlus เป็นโปรแกรมขนาดเล็ก มีเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับเขียนโค้ด HTML อยู่พอสมควร แบ่งสีระหว่างคำสั่งกับเนื้อหาได้ มีบอกหมายเลขบรรทัด ฯลฯ
                    เครื่องมือสร้างเว็บเพจอีกประเภทหนึ่งจัดเป็นประเภทโปรแกรมสำเร็จรูปแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) สิ่งที่คุณเห็นบนโปรแกรมสร้างเว็บเพจ จะค่อนข้างเหมือนกับสิ่งที่จะแสดงบนบราวเซอร์ โปรแกรมประเภทนี้ช่วยให้เราสร้างเว็บเพจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การสร้างตาราง หากเขียนโค้ดด้วยตัวเอง คุณต้องใช้ทั้ง <TABLE> <TR> <TD> และยังมีการตั้งค่าอื่นๆ อีกมากมาย เช่น BORDER, CELLPADDING, CELLSPACING ฯลฯ แต่หากใช้โปรแกรมประเภท WYSIWYG ซึ่งได้แก่โปรแกรม Microsoft Front Page, Netscape Composer, Dream Weaver, Pagemill, Hotdog, ฯลฯ จะสร้างได้อย่างง่ายดายโดยเพียงลากเส้นตีกรอบ ต่อเติมด้วยเส้นแบ่งซอยตาราง เพียงเท่านี้ตารางที่ต้องการก็เสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย
ควรจะใช้วิธีเขียนโค้ดด้วยตัวเองดีหรือว่าจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเข้ามาช่วยสร้างเว็บเพจดี ?
  
                 เหมือน กับการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจะง่ายกว่าการเขียนโค้ดด้วยตนเอง แต่ในหลายๆ ครั้ง โปรแกรมเหล่านี้ ก็สร้างเว็บเพจได้ไม่ตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ เบี้ยวซ้ายนิดขวาอีกหน่อย หากจะแก้ไขก็คงหลีกไม่พ้นต้องไปแก้ไขที่ตัวโค้ดของเว็บเพจ คือคุณต้องรู้และเข้าใจคำสั่ง HTML อยู่ดี รับประกันได้เลยว่า โฆษณาที่ประกาศใช้ซอฟต์แวร์สำหรับเว็บเพจได้โดยไม่ต้องเขียน โค้ด ยืนยันว่าเป็นจริงแค่ครึ่งเดียว หากสร้างเว็บเพจแบบเล่นๆ อาจพอได้ แต่หากเป็นเว็บเพจขององค์การใหญ่ๆ ที่ต้องการความถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกรายละเอียด การแก้ไขโค้ดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บริษัทรับสร้างและออกแบบเว็บเพจระดับมือโปรส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมสองประเภท เกื้อหนุนกัน เริ่มแรกด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปแล้วตามตกแต่งเก็บรายละเอียดปลีกย่อยด้วยการ เขียนและแก้ไขโค้ดด้วยตนเอง
เว็บเพจที่ดีส่วนมากมีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง ?                    ปัจจัยที่ เกี่ยวข้องมีหลายอย่าง คนสร้างแต่ละคนมีสไตล์ที่แตกต่างกันไปในการจะทำให้เว็บเพจของตัวเองดูดีและ เป็นสากล แต่เสียดายที่ทำได้มีไม่มาก โดยรวมเว็บเพจที่ดูดีขององค์กร หรือบริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วย HTML เพียงอย่างเดียว แต่มี CSS กับ จาวาสคริปต์ผสมไปด้วย โค้ด HTML ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของเว็บเพจได้ทั้งหมด ทำให้ผู้ออกแบบเว็บต้องมีความรู้ในการดีไซน์และการสื่อสารค่อนข้างมาก ตั้งแต่การใช้สี การจัดวางข้อความและรูปภาพ การเล่นคำให้ดึงดูด ฯลฯ
                    รูปภาพบนเว็บเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการทำเว็บเพจดูดี รูปสวยและเข้ากับอารมณ์โดยรวมของเว็บไซต์และภาพพจน์ขององค์กร แต่มีหลายคนที่ตกม้าตายตอนสุดท้ายเพราะรูปภาพนั้นๆ มีขนาดใหญ่เกินไป เสียเวลาโหลดนานจนผู้ชมหงุดหงิดและปิดหน้าต่างทิ้งไปก่อนจะได้เห็น ซึ่งความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยหนึ่ง ลิงก์ต่างๆ บนเว็บเพจควรจะสื่อความหมายได้ถูกต้อง โครงสร้างการเชื่อมโยงต้องถูกวางอย่างเป็นระบบ เว็บเพจแต่ละหน้าภายในเว็บไซต์เดียวกัน ควรจะให้อารมณ์ที่เหมือนกัน
                    ......เคล็ดลับง่ายๆ คือ ทำใจคุณให้เป็นกลาง แล้วสมมุติตัวเองเป็นผู้ใช้ นั่งดูเว็บเพจที่คุณออกแบบด้วยตัวเองอย่างละเอียด ใช้งานง่ายไหม มีตรงไหนแปลกๆ ตรงไหนไม่เข้าท่า ถ้าจะให้ดีลองให้เพื่อนๆมาช่วยกันดูแล้วเปิดโอกาสให้เขาวิจารณ์ได้อย่างเต็ม ที่ ก็จะได้เว็บเพจที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ.....
เคยเจอบางเว็บที่ดูกับบราวเซอร์ตัวหนึ่งก็สวยดี แต่พอดูด้วยบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งกลับดูไม่ได้เกิดอะไร และมีข้อควรระวังหรือไม่ ?
  
                 ปัญหา ที่นักออกแบบเว็บมือใหม่มักจะเจอกันเป็นประจำหลายคนใช้บราวเซอร์อยู่ตัว เดียว ขณะนี้ Internet Explorer (IE) จากไมโครซอฟท์ครองตลาดบราวเซอร์ไปได้เกินครึ่ง แต่ผู้ใช้ Netscape Communicator ก็ยังมีอีกมาก สังเกตให้ดีจะเห็นว่า เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงทั่วไป เช่น Yahoo! , Microsoft , Netscape , Snap , Download.com , CNN , NBC ฯลฯ ทั้งหมดจะมีปัญหาเรื่องบราวเซอร์น้อยมาก สตูดิโอ สำหรับสร้างเว็บเหล่านี้จะมีบราวเซอร์เกือบครบทุกรุ่นทุกเวอร์ชัน ไล่ตั้งแต่ Netscape และ IE เวอร์ชั่น 3.0 ไล่มาจนถึงเวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบัน บราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ย่อมสามารถใส่ลูกเล่นเข้าไปได้มากกว่า แต่ลูกเล่นนั้นๆ จะต้องไม่ไปรบกวน นอกจากปัญหาเรื่องบราวเซอร์แล้ว ยังมีเรื่องความละเอียดของหน้าจอมอนิเตอร์ ปัจจุบันที่คนใช้กันมากๆ มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ คือ 640 x 480 , 800 x 600 , 1024 x 768 โดยขนาด 800 x 600 มีคนใช้มากที่สุด แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ระดับมืออาชีพจะออกแบบเว็บเพจให้แสดงผลได้ดีที่ ความละเอียด 640 x 480 หรือไม่ก็ 800 x 600 หากออกแบบเว็บเพจบนหน้าจอที่ใช้ความละเอียดระดับ 1024 x 768 เมื่อนำไปดูผลบนจอที่ตั้งค่าความละเอียดไว้ต่ำกว่า จะทำให้ข้อมูลตามแนวกว้างแสดงผลได้ไม่พอดีกับความกว้างของบราวเซอร์ และผู้ใช้ต้องเลื่อนสกรอล์บาร์แนวนอนเพื่อดูข้อมูล เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกต่อผู้ใช้สักเท่าไหร่ และมีปัญหาเรื่องสีเพี้ยน คงต้องระวังตอนเลือกสีสำหรับใช้ในรูปภาพให้ดี หากเป็นไปได้ควรเลือกสีในกลุ่ม 216 สีสำหรับบราวเซอร์โดยเฉพาะ
ภาษาไทยกับเว็บเพจ มักมีปัญหาในการใช้งาน ?
  
                 โดย มากวิธีการแสดงผลภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีมาตรการใดที่แก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใน IE ผู้สร้างเว็บเพจสามารถตั้งค่าได้ว่า จะให้เว็บเพจนั้นๆ แสดงผลด้วยภาษาอะไร ภาษาไทยใช้รหัสว่า window-874 หากผู้ชมใช้ IE บราวเซอร์ก็จะแสดงผลภาษาไทยให้โดยอัตโนมัติ แต่คุณสมบัติดังกล่าวใช้ไม่ได้กับ Netscape แต่มีมาตรฐานภาษาไทยสำหรับเว็บอีกตัวหนี่ง คือ TIS-620 ซึ่งถูกใส่ไว้ใน Netscape 5.0 ขึ้นไป หากบราวเซอร์ทั้งสองตัวตกลงกันเรื่องมาตรฐานภาษาไทยที่จะใช้ได้ การสร้างเว็บภาษาไทยต่อไปในอนาคตคงทำได้สะดวกขึ้น
                    หนทางแก้ไขขณะนี้มีอยู่ 2 ทางด้วยกันสำหรับ IE แนะนำให้ใส่ <META HTTP-EQUIV="Content-Type" content = "text/html ; charset = window-874"> ไว้ที่ส่วน <HEAD> ของไฟล์ HTML แต่เพื่อให้หน้าเว็บเพจแสดงผลได้ดีกับ Netscape ด้วย ควรระบุรูปแบบและขนาดอักษรที่ใช้เอาไว้ทุกๆส่วนที่เป็นภาษาไทยบนเว็บเพจ จะระบุด้วยคำสั่ง <FONT> อักษรที่แนะนำให้ใช้คือ MS Sans Serif ซึ่งแสดงผลได้สวยงาม มีอยู่ในวินโดวส์ 9x ทุกรุ่น หากเราไม่กำหนดรหัส windows-874 หรือระบุฟอนต์ผ่านทาง <FONT> จะเกิดอะไรขึ้น? ผู้ใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้วิธีตั้งค่าและเปลี่ยนชุดอักษรจะไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้
                    อีกปัญหาหนึ่ง สำหรับคนออกแบบเว็บคือการตัดคำภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันมีแค่ IE เวอร์ชั่นใหม่ๆ เท่านั้น ที่ทำได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีหากเทียบกับ Netscape แล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามากเพราะ Netscape ตัดคำภาษาไทยไม่ได้เลย จะตัดเฉพาะตรงที่เป็นเว้นวรรคเท่านั้น
ถ้าสร้างเสร็จแล้ว จะเอาเว็บเพจไปแสดงผลได้อย่างไร ?
  
                 ถ้า แค่ต้องการให้เพื่อนสนิทดูเฉยๆก็ copy ใส่แผ่นดิสก์ไปให้ดูก็ได้ แต่หากอยากจะเผยแพร่ขึ้นสู่เวิลด์ไวด์เว็บก็แนะนำให้ไปสมัครสมาชิกขอพื้นที่ สร้างเว็บไซต์ฟรีได้จาก Geocities.com. Yod.net, Sanool.com , Yahoo.com , Xoom.com ฯลฯ วิธีสมัครก็ไม่ยาก กรอกแบบฟอร์มตามที่แต่ละแห่งจัดเตรียมแบบการลงทะเบียนไว้ให้เสร็จ ก็ส่งไฟล์ (อัพโหลด) ขึ้นสู่เว็บไซต์ที่ไปสมัครสมาชิกไว้ได้เลย ซึ่งตรงนี้ขอแนะนำว่าควรมีการสร้างเว็บไซต์ไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปสมัคร ขอพื้นที่ จะได้เห็นผลงานได้ทันทีเลย หากเว็บไซต์ยังสร้างแบบไม่เสร็จจะทำให้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถปิดตัวหรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นเข้าเยี่ยมชมได้
                    ส่วนวิธีอัพโหลดไฟล์นั้นสำหรับผู้ให้บริการบางแห่ง เช่น Geocities จะมีบริการให้อัพโหลดไฟล์ผ่านทางบราวเซอร์ได้ ใช้งานง่ายและสะดวกอย่างยิ่งโดยเฉพาะการอัพโหลดไฟล์จำนวนไม่มาก หรือถ้าไม่มีบริหารอัพโหลดไว้ให้คงต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมอย่าง MS_FTP หรือ CuteFTP มาใช้แล้วลองศึกษาด้วยตนเอง เมื่อการนำไฟล์ขึ้นสู่เซิร์ฟเวอร์เรียบร้อย เพียงแค่บอกแอดเดรสของเว็บไซต์ของคุณก็เป็นอันเสร็จสิ้น
                    หวังว่านักส่งเสริมการเกษตรทั้งหลายคงได้หาโอกาสสร้างเว็บเพจนำเสนอข้อมูล ข่าวสารที่ท่านต้องการเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นทราบโดยผ่านทางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกัน บ้าง แล้วท่านจะรู้สึกว่าองค์กรหรือหน่วยงานของท่านเปิดประตูต้อนรับและให้บริการ ผู้อื่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2. เกร็ดความรู้เชิงสร้างสรรค์
สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้

            “ทพ.กฤษ ดา”แนะเด็กและเยาวชนใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือเชิงสร้างสรรค์ ชี้ติดตามข่าวสารได้รวดเร็วกว่าสื่ออื่น ให้มองโจทย์ด้วยมุมมองใหม่ๆ และเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น เชื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้
 
เมื่อ วันที่ 21 ตุลาคม 2553 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวในการบรรยายพิเศษโครงการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เด็กหัวใส ฉลาดใช้ไอซีทีจัดโดย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจลว่า การ ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ใช้ไอซีทีไปในเชิงสร้างสรรค์ และเกิดผลสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากการสนับสนุนให้เด็กรู้จักการคิดนอกกรอบ ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการด้านไอซีที่น่าสนใจ เกิดจากการรวมตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เชื่อว่าสังคมไทยมีองค์ความรู้มากมาย นำโดยคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการสถาบัน Change Fusion (ใน ปัจจุบัน)  ได้ ร่วมกันลงไปเก็บข้อมูลภูมิปัญญา องค์ความรู้ต่างๆ ในท้องถิ่น และนำมาผสมผสานกับระบบไอซีที จัดทำเป็นคลังภูมิปัญญาไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นต้นแบบการจัดเก็บข้อมูลที่น่าสนใจและได้รับรางวัล ระดับประเทศ

ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า ดังนั้น สิ่งสำคัญของเด็ก และเยาวชน ในการใช้ไอซีทีเชิงสร้างสรรค์ต้องคิดให้ลึกมากขึ้น ตีโจทย์ให้แตก โดยอาจจะมองโจทย์จากรอบๆ ตัวเรา เช่น สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน ได้เห็นความเคลื่อนไหวในการนำไอซีทีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมาก โดยมีการรวมกลุ่มของเยาวชน ใน twitter ใช้ชื่อว่า @ThaiFlood ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ และอัพเดทข้อมูลตลอดเวลา อาทิ สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ระดับน้ำ การให้ความช่วยเหลือฯลฯ ซึ่งมีการรายงานอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสถานีโทรทัศน์เสียอีก

“การ นำไอซีทีเข้ามาทำให้การช่วยเหลือไปถึงชาวบ้านได้อย่างรวดเร็วและลดระดับความ เสียหายได้มากกว่า เหตุการณ์สึนามิ ซึ่งความช่วยเหลือเข้าไปได้ค่อนข้างล่าช้า ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การนำไอซีทีมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน หรือต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพียงแค่มีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถทำให้การแก้ปัญหารวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น”ทพ.กฤษดากล่าว

ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากฝากเด็ก เยาวชนไว้ก็คือ เราต้องมองใหม่ว่าโจทย์อยู่ที่ไหน ต้องค้นหาให้เจอ โดยเฉพาะโจทย์ใกล้ๆ ตัวเรา เพราะเมื่อเยาวชนมองกันเองจะเห็นภาพที่ชัดเจนกว่าผู้ใหญ่ และสามารถสื่อสารกันเองได้ง่ายกว่า การมองเห็นโจทย์ คือ ต้องมองให้หลุดกรอบ มองโจทย์ในมุมใหม่ให้เชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ ขณะ นี้โลก และวิถีชีวิตของคนกำลังเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่คนอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ หากต้องการเผยแพร่ข้อมูลก็ต้องเป็นข่าว ต้องใช้เงินซื้อโฆษณา แต่ขณะนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะการใช้ไอซีทีเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ได้รับความสนใจอย่างมาก เช่น คลิปต่างๆ ในช่วงเวลาไม่นานมีคนสนใจเข้าไปดูจำนวนมาก บางคลิปเกิดเป็นกระแสสังคมก็มี

“สิ่ง เหล่านี้เด็ก เยาวชน ลงมือทำกันได้เอง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สามารถสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ในวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูลจะพบว่าในอดีต ย้อนหลังไป 5-6 ปี เด็กจะใช้ไอซีทีไปกับการบันเทิง เล่นเกม แต่ปัจจุบันเด็กใช้ไอซีทีไปในเชิงสร้างสรรค์ เรียนรู้มากขึ้น แต่ปัญหาคือ เนื้อหาสาระ ในเชิงบวกยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่จะต้องหาแนวทางนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่า อนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือเด็ก และเยาวชน ว่าจะออกแบบให้ประเทศ และโลกนี้น่าอยู่ได้อย่างไรต่อไป”ทพ.กฤษดากล่าว
 

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

งานที่1

เครื่องมือและอุปกรณ์เขียนแบบ
สาระการเรียนรู้
อุปกรณ์และเครื่องมือเขียนแบบนับเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยให้สามารถเขียนแบบได้ดี รวดเร็ว และประหยัดเวลา การเขียนแบบให้ได้มาตรฐานจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ เครื่องมือและวัสดุเขียนแบบอย่างถูกต้อง จึงควรทำความเข้าใจกับเครื่องมือเขียนแบบ เพื่อให้การเลือกซื้ออุปกรณ์ และเครื่องมือที่ถูกต้องมีคุณภาพดี
ชนิดของเครื่องมือและอุปกรณ์เขียนแบบในงานเขียนแบบทั่วไป แบบงานจะสำเร็จสมบูรณ์ได้มาตรฐาน นอกจากจะต้องใช้ทักษะของผู้ปฏิบัติงานแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะ เครื่องมือมีส่วนที่จะช่วยให้งานเขียนแบบมีคุณภาพได้มาตรฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบพื้นฐานประกอบด้วย

ชนิดของเครื่องมือและอุปกรณ์เขียนแบบในงานเขียนแบบทั่วไป แบบงานจะสำเร็จสมบูรณ์ได้มาตรฐาน นอกจากจะต้องใช้ทักษะของผู้ปฏิบัติงานแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะ เครื่องมือมีส่วนที่จะช่วยให้งานเขียนแบบมีคุณภาพได้มาตรฐาน เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนแบบพื้นฐานประกอบด้วย
โต๊ะเขียนแบบ(ดังรูป 1.1)
5


2. อุปกรณ์ที่ใช้ขีดเส้นอุปกรณ์ที่ใช้ในการขีดเส้น ได้แก่ ไม้ที บรรทัดสามเหลี่ยม และบรรทัดสเกล
2.1 ไม้ที เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเขียนแบบ ไม้ที มีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนหัว และ ส่วนใบ ทำจากไม้เนื้อแข็ง หรือ พลาสติกใส ทั้ง 2 ส่วน จะยึดตั้งฉากกัน ไม้ที ใช้สำหรับขีดเส้นในแนวนอน และใช้ประกอบกับฉากสามเหลี่ยม ขีดเส้นในแนวตั้งฉาก และขีดเส้นเอียงทำมุมต่างๆ


(ดังรูป 2.3)


7


3. อุปกรณ์เขียนส่วนโค้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการเขียนส่วนโค้งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะงานและการนำไปใช้ เช่น วงเวียน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ วงเวียนที่ใช้เขียนส่วนโค้ง และวงเวียนที่ใช้ถ่ายขนาด เป็นต้น
3.1 วงเวียน เป็นอุปกรณ์สำหรับเขียนวงกลม หรือส่วนโค้ง วงเวียนมีหลายแบบ ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับลักษณะงาน (ดังรูป 2.6)


12


4. กระดาษเขียนแบบกระดาษเขียนแบบที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบนิ้ว และ ระบบมิลลิเมตร ต่อมาได้ปรับปรุงให้เป็นระบบสากล โดยใช้ระบบ ISO (International System Organization) ซึ่งยอมรับทั้งระบบอเมริกันและยุโรป นอกจากนั้น ประเทศไทยยังได้ผลิตมาตรฐานเป็น (มอก.) โดการเขียนแบบทั่วไปทางเครื่องกลซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับมาตรฐาน ISO ซึ่งมาตรฐานของกระดาษในระบบต่างๆ

5. ดินสอเขียนแบบ
เป็นเครื่องมือที่ใช้ขีดเส้นบนกระดาษเขียนแบบ เพื่อแสดงรูปร่างต่างๆ ให้เป็นแบบที่ใช้งาน ดินสอเขียนแบบสามารถแบ่งได้เป็นหลายชนิดคือ
5.1 ดินสอชนิดเปลือกไม้ (ดังรูป 2.11)

20
รูปที่ 2.11 ดินสอชนิดเปลือกไม้

6. ปากกาเขียนแบบปากกาเขียนแบบในปัจจุบันนิยมใช้ปากกาเขียนแบบหมึกซึม ขนาดความโตของปากกาเขียนแบบจะมีขนาดเท่าขนาดของเส้นมาตรฐานสากลที่ใช้ในงานเขียนแบบ (ดังรูป 2.17)
27
รูปที่ 2.17 ปากกาเขียนแบบ
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด

วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด
วิธีบำรุงรักษา
-   ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบนเครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน
เครื่องมือวัด
ควรรักษาอย่าให้ขอบของเครื่องมือวัดมีรอยโค้งเว้า และสิ่ง สกปรกบน เครื่องมือวัด
ควรรักษาสเกลบนเครื่องมือวัด   อย่าให้ลบ   หรือลอกหายไปจาก เครื่องมือวัด



การร่างแบบ     คือ     การร่างภาพของแบบที่จะทำการออกแบบนั้นๆอย่างหยาบเพื่อให้เห็นรูปร่างอย่างคร่าวๆใช้ในการทดลองปรับปรุงพัฒนาหรือออกแบบ การร่างแบบควรจะทำการร่างหลายๆแบบเพื่อจะได้มีโอกาสเลือกว่าแบบไหนดีที่สุด มีส่วนดีส่วนเสียของแต่ละแบบอย่างไร จะได้นำมาปรับปรุงให้ได้แบบร่างที่ดีที่สุดตามวัตถุประสงค์ของการออกแบบนั้นๆ การร่างแบบโดยการนำเอาข้อมูลต่างๆที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นมาประกอบพิจารณาในการร่างแบบ เพื่อจะได้แบบร่างที่ต้องการตามเป้าหมายซึ่งเป็นขั้นแรกก่อนที่จะทำการเขียนแบบจริง
การเขียนแบบ     คือ     การถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์โดยการเขียนเป็นภาพหรือสัญลักษณ์ ตลอดจนรายละเอียดต่างๆลงในแผ่นกระดาษ เพื่อเป็นสื่อความหมายแสดงรูปหรือชิ้นงานให้ผู้อ่านและผู้ดูแบบนั้นเข้าใจ การเขียนแบบนี้ถือเป็นภาษาอย่างหนึ่งในการบ่งบอกให้เห็นได้ด้วยสายตา การเขียนแบบผลิตภัณฑ์โดยปกติมักจะแสดงการเขียนออกมาในรูปทัศนียภาพ อาจจะใช้สีเดียวหรือหลายสีก็ได้ สีที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการดึงดูดความสนใจของแบบนั้นๆ สัดส่วนที่ใช้เขียนแบบผลิตภัณฑ์นั้นขึ้นอยู่กับขนาดของผลิตภัณฑ์ อาจจะใช้ย่อสัดส่วนหรือขยายสัดส่วนก็ได้
ประเภทของแบบ
การเขียนแบบมีด้วยกันหลายอย่าง แต่ถ้าจะแบ่งอกตามลักษณะของงานแล้วสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การเขียนแบบทางสถาปัตยกรรม   ได้แก่    
การเขียนแบบทางการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆ เช่น การเขียนแบบโครงสร้าง การเขียนแบบแผนที่ การเขียนแบบช่างสำรวจ เป็นต้น
2. การเขียนแบบทางวิศวกรรม   ได้แก่
การเขียนแบบเครื่องจักรกลต่างๆ เช่น การเขียนแบบเครื่องกล การเขียนแบบโลหะแผ่น การเขียนแบบไฟฟ้า การเขียนแบบช่างกลโรงงาน การเขียนแบบเครื่องเรือน เป็นต้น
ชนิดของแบบ แบบทั้งสองประเภทนั้นจะเขียนเป็นภาพหรือใช้เป็นสัญลักษณ์ก็ได้ สามารถเขียนได้ 3 วิธีคือ
1. การเขียนแบบภาพ     (Pictorial Drawing)
ได้แก่     การเขียนแบบที่เป็นรูป 3 มิติ มองดูเหมือนของจริงแบบถ่ายภาพ ใช้สำหรับเขียนประกอบเพื่อให้ดูเข้าใจง่าย ผู้ที่ไม่มีความรู้ในการเขียนแบบก็สามารถดูและเข้าใจ แต่ไม่เหมาะที่จะใช้สำหรับสร้างชิ้นงานที่มีความสลับซับซ้อน การเขียนภาพมี 3 แบบด้วยกันคือ
1.1 แบบ Oblique    เป็นแบบภาพ 3 มิติที่มองเห็นรูปร่างลักษณะเหมือนของจริง ด้านหน้าเป็นแนวตรงเป็นมุมฉากเหมือนภาพฉาย สามารถจัดขนาดได้ ส่วนด้านลึกจะทำมุมต่างกันกับเส้นระดับ มุมที่ใช้มักจะใช้มุม 45 องศา
1.2 แบบ Isometric     เป็นแบบภาพ 3 มิติมองเห็นรูปร่างลักษณะเหมือนของจริงแนวแกนกลางจะตั้งตรง ส่วนด้านหน้าและด้านข้างจะทำมุม 30 องศากับเส้นระดับ
1.3 แบบ Perspective     เป็นแบบรูป 3 มิติเหมือนรูปถ่าย ใช้เขียนประกอบเพื่อแสดงแบบเหมือนของจริง แบบ Perspective มีด้วยกัน 3 ชนิดคือ
- แบบจุดรวมสายตา 1 จุด
- แบบจุดรวมสายตา 2 จุด
- แบบจุดรวมสายตา 3 จุด
2. แบบใช้งาน     (Working Drawing)
เป็นแบบที่ใช้เขียนในงานผลิตทุกชนิดเพราะแบบใช้งานที่ได้แสดงรายละเอียดของด้านต่างๆไว้อย่างชัดเจนและถูกต้อง แบบใช้งาน    ได้แก่
2.1 แบบฉาย     เป็นแบบภาพ 2 มิติ ตามแนวตรงเป็นมุมฉากแสดงรายละเอียดของด้านต่างๆเช่น ด้านหน้า ด้านบน ด้านข้าง ด้านหลัง เป็นต้น การแสดงรายละเอียดนั้นต้องมีอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ด้าน การแสดงแบบภาพฉายมีดังนี้
- ภาพแสดงด้านต่างแบบเต็มขนาดคือ ขนาดเท่าของจริงหรือจะใช้
- มาตราส่วนย่อหรือขยายก็ได้แต่ต้องบอกไว้อย่างชัดเจน
- มีตัวเลขหรือตัวอักษรประกอบเพื่อให้ทราบรายละเอียดต่างๆ
- มีรายการวัสดุที่ใช้โดยละเอียด
แบบภาพฉายนี้ถ้าเป็นงานที่มีรายละเอียดหรือสลับซับซ้อนมากอาจจะเขียนภาพตัดหรือแบบขยายภาพละเอียดประกอบเพิ่มเติมก็ได้

มาตราส่วนที่ใช้ในการเขียนแบบ มาตราส่วนที่ใช้ในการเขียนแบบโดยทั่วไปมี 3 ชนิดด้วยกัน    คือ
1. มาตราส่วนเท่าของจริง     1 : 1
2. มาตราส่วนย่อย     1 : 2, 1 : 5, 1 : 10, 1 : 20, 1 : 100, 1 : 200, 1 : 500, 1 : 1000
3. มาตราส่วนขยาย     2 : 1, 5 : 1, 10 : 1