ความหมายของBlog
ความหมายของ Blog
Blog คืออะไรBlog คืออะไร
September 30, 2005 at 12:44 am · Filed under ความรู้เรื่อง Blog
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
ที่มา http://www.keng.com/?
Blog คืออะไรBlog คืออะไร
September 30, 2005 at 12:44 am · Filed under ความรู้เรื่อง Blog
Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog บางคนอ่านคำ ๆ นี้ว่า We Blog บางคนอ่านว่า Web Log แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทั้งสองคำบ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่านั่นคือบล็อก (Blog)
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น
จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง
ในอดีตแรกเริ่ม คนที่เขียน Blog นั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเองทีละหน้า แต่ในปัจจุบันนี้ มีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียน Blog ได้มากมาย เช่น WordPress, Movable Type เป็นต้น
ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียน Blog กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนถึงระดับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้น NasDaq
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมา Blog เริ่มต้นมาจากการเขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่าง ๆ หลาย ๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญ ให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ จวบจนกระทั่งปี 2004 คนเขียน Blog ก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่าง ๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ
ที่มา http://www.keng.com/?
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
งานชิ้นที่2.2
ซอฟท์แวร์ คือ อะไร ?
ซอฟต์แวร์ (software) หมาย ถึง ชุด คำ สั่ง หรือ โปรแกรม ที่ ใช้ สั่ง งาน ให้ คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ซอฟต์แวร์จึง หมาย ถึง ลำ ดับ ขั้น ตอน การ ทำ งาน ที่ เขียน ขึ้น ด้วย คำ สั่ง ของ คอมพิวเตอร์ คำ สั่ง เหล่า นี้ เรียง กัน เป็น โปรแกรม คอมพิวเตอร์ จาก ที่ ทราบ มา แล้ว ว่า คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ตาม คำ สั่ง การ ทำ งาน พื้น ฐาน เป็น เพียง การก ระ ทำกับข้อ มูล ที่ เป็น ตัว เลข ฐาน สอง ซึ่ง ใช้ แทน ข้อ มูล ที่ เป็น ตัว เลข ตัว อักษร รูป ภาพ หรือ แม้ แต่ เป็น เสียง พูด ก็ ได้ โปรแกรม คอมพิวเตอร์ ที่ ใช้ สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ จึง เป็น ซอฟต์แวร์ เพราะ เป็น ลำ ดับ ขั้น ตอน การ ทำ งาน ของ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ทำ งาน แตก ต่าง กัน ได้ มาก มาย ด้วย ซอฟต์แวร์ที่ แตก ต่าง กัน ซอฟต์แวร์จึง หมาย รวม ถึง โปรแกรม คอมพิวเตอร์ ทุก ประเภท ที่ ทำ ให้ คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ได้ การ ที่ เรา เห็น คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ให้กับเรา ได้ มาก มาย เพราะ ว่า มี ผู้ พัฒนา โปรแกรม คอมพิวเตอร์ มา ให้ เรา สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ ร้าน ค้า อาจ ใช้ คอมพิวเตอร์ ทำ บัญชี ที่ ยุ่ง ยาก ซับ ซ้อน บริษัท ขาย ตั๋ว ใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วย ใน ระบบ การ จอง ตั๋ว คอมพิวเตอร์ ช่วย ใน เรื่อง กิจ การ งาน ธนาคาร ที่ มี ข้อ มูล ต่าง ๆ มาก มาย คอมพิวเตอร์ ช่วย งาน พิมพ์ เอก สาร ให้ สวย งาม เป็น ต้น การ ที่ คอมพิวเตอร์ ดำ เนิน การ ให้ ประ โยชน์ ได้ มาก มาย มหาศาล จะ อยู่ ที่ ซอฟต์แวร์ ซอฟต์แวร์จึง เป็น ส่วน สำคัญ ของ ระบบ คอมพิวเตอร์ หาก ขาด ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ก็ ไม่ สามารถ ทำ งาน ได้ ซอฟต์แวร์จึง เป็น สิ่ง ที่ จำ เป็น และ มี ความ สำคัญ มาก และ เป็น ส่วน ประกอบ หนึ่ง ที่ ทำ ให้ ระบบ สาร สนเทศ เป็น ไป ได้ ตาม ที่ ต้อง การ เมื่อ มนุษย์ ต้อง การ ใช้ คอมพิวเตอร์ ช่วย ใน การ ทำ งาน มนุษย์ จะ ต้อง บอก ขั้น ตอน วิธี การ ให้ คอมพิวเตอร์ ทราบ การ ที่ บอก สิ่ง ที่ มนุษย์ เข้า ใจ ให้ คอมพิวเตอร์ รับ รู้ และ ทำ งาน ได้ อย่าง ถูก ต้อง จำ เป็น ต้อง มี สื่อ กลาง ถ้า เปรียบ เทียบกับชีวิต ประจำ วัน แล้ว เรา มี ภาษา ที่ ใช้ ใน การ ติด ต่อ ซึ่ง กัน และ กัน เช่น เดียว กัน ถ้า มนุษย์ ต้อง การ จะ ถ่าย ทอด ความ ต้อง การ ให้ คอมพิวเตอร์ รับ รู้ และ ปฏิบัติ ตา ม จะ ต้อง มี สื่อ กลาง สำหรับ การ ติด ต่อ เพื่อ ให้ คอมพิวเตอร์ รับ รู้ เรา เรียก สื่อ กลาง นี้ ว่า ภาษา คอมพิวเตอร์ เนื่อง จาก คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ด้วย สัญญาณ ทางไฟ ฟ้า ใช้ แทน ด้วย ตัว เลข 0 และ 1 ได้ ผู้ ออก แบบ คอมพิวเตอร์ ใช้ ตัว เลข 0 และ 1 นี้ เป็น รหัส แทน คำ สั่ง ใน การ สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ รหัส แทน ข้อ มูล และ คำ สั่ง โดย ใช้ ระบบ เลข ฐาน สอง นี้ คอมพิวเตอร์ สามารถ เข้า ใจ ได้ เรา เรียก เลข ฐาน สอง ที่ ประกอบ กัน เป็น ชุด คำ สั่ง และ ใช้ สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ ว่า ภาษาเครื่อ ง การ ใช้ ภาษาเครื่องนี้ ถึง แม้ คอมพิวเตอร์ จะ เข้า ใจ ได้ ทัน ที แต่ มนุษย์ ผู้ ใช้ จะ มี ข้อ ยุ่ง ยาก มาก เพราะ เข้า ใจ และ จด จำ ได้ ยาก จึง มี ผู้ สร้าง ภาษา คอมพิวเตอร์ ใน รูป แบบ ที่ เป็น ตัว อักษร เป็น ประโยค ข้อ ความ ภาษา ใน ลักษณะ ดัง กล่าว นี้ เรียก ว่า ภาษา คอมพิวเตอร์ ระดับ สูง ภาษา ระดับ สูง มี อยู่ มาก มาย บาง ภาษา มี ความ เหมาะ สมกับการ ใช้ สั่ง งาน การ คำนวณ ทางคณิต ศาสตร์ และ วิทยา ศาสตร์ บาง ภาษา มี ความ เหมาะ สม ไว้ ใช้ สั่ง งาน ทางด้าน การ จัด การ ข้อ มูล ใน การ ทำ งาน ของ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ จะ แปล ภาษา ระดับ สูง ให้ เป็น ภาษาเครื่อง ดัง นั้น จึง มี ผู้ พัฒนา โปรแกรม คอมพิวเตอร์ สำหรับ แปล ภาษา คอมพิวเตอร์ ระดับ สูง ให้ เป็น ภาษ าเครื่อง โปรแกรม ที่ ใช้ แปล ภาษา คอมพิวเตอร์ ระดับ สูง ให้ เป็น ภาษาเครื่องเรียก ว่า คอมไพ เลอร์ (compiler) หรืออินเทอร์พรีเตอร์ (interpreter) คอมไพ เลอร์จะ ทำ การ แปล โปรแกรม ที่ เขียน เป็น ภาษา ระดับ สูง ทั้ง โปรแกรม ให้ เป็น ภาษาเครื่อ งก่อน แล้ว จึง ให้ คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ตาม ภาษาเครื่องนั้น ส่วนอินเทอร์พรีเตอร์จะ ทำ การ แปล ที ละ คำ สั่ง แล้ว ให้ คอมพิวเตอร์ ทำ ตาม คำ สั่ง นั้น เมื่อ ทำ เสร็จ แล้ว จึง มา ทำ การ แปล คำ สั่ง ลำ ดับ ต่อ ไป ข้อ แตก ต่าง ระหว่าง คอมไพ เลอร์กับอินเทอร์พรีเตอร์จึง อยู่ ที่ การ แปล ทั้ง โปรแกรม หรือ แปล ที ละ คำ สั่ง ตัว แปล ภาษา ที่ รู้ จัก กัน ดี เช่น ตัว แปล ภาษาเบสิก ตัว แปล ภาษา โค บอล ซอฟต์แวร์หรือ โปรแกรม คอมพิวเตอร์ จึง เป็น ส่วน สำคัญ ที่ ควบ คุม การ ทำ งาน ของ คอมพิวเตอร์ใ ห้ดำ เนิน การ ตาม แนว ความ คิด ที่ ได้ กำหนด ไว้ ล่วง หน้า แล้ว คอมพิวเตอร์ ต้อง ทำ งาน ตาม โปรแกรม เท่า นั้น ไม่ สามารถ ทำ งาน ที่ นอก เหนือ จาก ที่ กำหนด ไว้ ใน โปรแกรม ใน บรรดา ซอฟต์แวร์หรือ โปรแกรม คอมพิวเตอร์ ที่ มี ผู้ พัฒนา ขึ้น เพื่อ ใช้ งานกับคอมพิวเตอร์ มี มาก มาย ซอฟต์แวร์เหล่า นี้ อาจ ได้ รับ การ พัฒนา โดย ผู้ ใช้ งาน เอง หรือ ผู้ พัฒนา ระบบ หรือ ผู้ ผลิต จำหน่าย หาก แบ่ง แยก ชนิด ของ ซอฟต์แวร์ตาม สภาพ การ ทำ งาน พอ แบ่ง แยก ซอฟต์แวร์ได้ เป็น สอง ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) และ ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software)
คอมพิวเตอร์ ประกอบ ด้วย หน่วย รับ เข้า หน่วย ส่ง ออก หน่วย ความ จำ และ หน่วย ประมวล ผล ใน การ ทำ งาน ของ คอมพิวเตอร์ จำ เป็น ต้อง มี การ ดำ เนิน งานกับอุปกรณ์ พื้น ฐาน ที่ จำ เป็น ดัง นั้น จึง ต้อง มี ซอฟต์แวร์ระบบ เพื่อ ใช้ ใน การ จัด การ ระบบ หน้า ที่ หลัก ของ ซอฟต์แวร์ระบบ ประกอบ ด้วย ซอฟต์แวร์ระบบ พื้น ฐาน ที่ เห็น กัน ทั่ว ไป แบ่ง ออก เป็น ระบบ ปฏิบัติ การ และ ตัว แปล ภาษา ซอฟต์แวร์ทั่ง สอง ประเภท นี้ ทำ ให้ เกิด พัฒนา การ ประยุกต์ ใช้ งาน ได้ ง่ายขึ้น
การ ที่ เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ ได้ พัฒนา ก้าว หน้า อย่าง รวด เร็ว โดย เฉพาะ การ ที่ มี คอมพิวเตอร์ ขนาด เล็ก ทำ ให้ มี การ ใช้ งาน คล่อง ตัว ขึ้น จน ใน ปัจจุบัน สามารถ นำ คอมพิวเตอร์ ขนาด เล็ก ติด ตัว ไป ใช้ งาน ใน ที่ ต่าง ๆ ได้ สะดวก การ ใช้ งาน คอมพิวเตอร์ ต้อง มี ซอฟตืแวร์ประยุกต์ ซึ่ง อาจ เป็น ซอฟต์แวร์สำเร็จ ที่ มี ผู้ พัฒนา เพื่อ ใช้ งาน ทั่ว ไป ทำ ให้ ทำ งาน ได้ สะดวก ขึ้น หรือ อาจ เป็น ซอฟต์แวร์ใช้ งาน เฉพาะ ซึ่ง ผู้ ใช้ เป็น ผู้ พัฒนา ขึ้น เอง เพื่อ ให้ เหมาะ สมกับสภาพ การ ทำ งาน ของ ตน
|
| ความ |
-
- ซอฟต์แวร์ระบบ
คือ ซอฟต์แวร์ที่ บริษัท ผู้ ผลิต สร้าง ขึ้น มา เพื่อ ใช้ จัด การกับระบบ หน้า ที่ การ ทำ งาน ของ ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ดำ เนิน งาน พื้น ฐาน ต่าง ๆ ของ ระบบ คอมพิวเตอร์ เช่น รับ ข้อ มูล จาก แผง แป้น อักขระ แล้ว แปล ความ หมาย ให้ คอมพิวเตอร์ เข้า ใจ นำ ข้อ มูล ไป แสดง ผล บน จอ ภาพ หรือ นำ ออก ไป ยังเครื่องพิมพ์ จัด การ ข้อ มูล ใน ระบบ แฟ้ม ข้อ มูล บน หน่วย ความ จำ รอง - ซอฟต์แวร์ระบบ
- เมื่อ
เรา เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ทัน ที ที่ มี การ จ่าย กระแส ไฟ ฟ้า ให้กับคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ จะ ทำ งาน ตาม โปรแกรม ทัน ที โปรแกรม แรก ที่ สั่ง คอมพิวเตอร์ ทำ งาน นี้ เป็น ซอฟต์แวร์ระบบ ซอฟต์แวร์ระบบ อาจ เก็บ ไว้ ใน รอม หรือ ใน แผ่น จาน แม่ เหล็ก หาก ไม่ มี ซอฟต์แวร์ระบบ คอมพิวเตอร์ จะ ทำ งาน ไม่ ได้ - ซอฟต์แวร์ระบบ
ยัง ใช้ เป็นเครื่องมือ ใน การ พัฒนา ซอฟต์แวร์อื่น ๆ และ ยัง รวม ไป ถึง ซอฟต์แวร์ที่ ใช้ ใน การ แปล ภาษา ต่าง ๆ -
- ซอฟต์แวร์ประยุกต์
เป็น ซอฟต์แวร์ที่ ใช้กับงาน ด้าน ต่าง ๆ ตาม ความ ต้อง การ ของ ผู้ ใช้ ที่ สามารถ นำ มา ใช้ ประ โยชน์ ได้ โดย ตรง ปัจจุบัน มี ผู้ พัฒนา ซอฟต์แวร์ใช้ งาน ทางด้าน ต่าง ๆ ออก จำหน่าย มาก การ ประยุกต์ งาน คอมพิวเตอร์ จึง กว้าง ขวาง และ แพร่ หลาย เรา อาจ แบ่ง ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ออก เป็น สอง กลุ่ม คือ ซอฟต์แวร์สำเร็จ และ ซอฟต์แวร์ที่ พัฒนา ขึ้น ใช้ งาน เฉพาะ ซอฟต์แวร์สำเร็จ ใน ปัจจุบัน มี มาก มาย เช่น ซอฟต์แวร์ประมวล คำ ซอฟต์แวร์ตา ราง ทำ งาน ฯล ฯ - ซอฟต์แวร์ประยุกต์
-
- ใช้
ใน การ จัด การ หน่วย รับ เข้า และ หน่วย ส่ง ออก เช่น รับ การ กด แป้น ต่าง ๆ บน แผง แป้น อักขระ ส่ง รหัส ตัว อักษร ออก ทางจอ ภาพ หรือเครื่องพิมพ์ ติด ต่อกับอุปกรณ์ รับ เข้า และ ส่ง ออก อื่น ๆ เช่น เมาส์ อุปกรณ์ สังเคราะห์ เสียง - ใช้
-
- ใช้
ใน การ จัด การ หน่วย ความ จำ เพื่อ นำ ข้อ มูล จาก แผ่น บัน ทึก มา บรรจุ ยัง หน่วย ความ จำ หลัก หรือ ใน ทำนอง กลับ กัน คือ นำ ข้อ มูล จาก หน่วย ความ จำ หลัก มา เก็บ ไว้ ใน แผ่น บัน ทึก - ใช้
-
- ใช้
เป็น ตัว เชื่อม ต่อ ระหว่าง ผู้ ใช้ งานกับคอมพิวเตอร์ สามารถ ใช้ งาน ได้ ง่ายขึ้น เช่น การ ขอ ดู ราย การ สารบบ ใน แผ่น บัน ทึก การ ทำ สำเนา แฟ้ม ข้อ มูล - ใช้
- ระบบ
ปฏิบัติ การ - ระบบ
ปฏิบัติ การ หรือ ที่ เรียก ย่อ ๆ ว่า โอ เอส (Operating System : OS) เป็น ซอฟต์แวร์ใช้ ใน การ ดู แล ระบบ คอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องจะ ต้อง มี ซอฟต์แวร์ระบบ ปฏิบัติ การ นี้ ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ นิยม ใช้ กัน มาก และ เป็น ที่ รู้ จัก กัน ดี เช่นดอส (Disk Operating System : DOS) วินโดวส์ (Windows) โอ เอสทู (OS/2) ยูนิกซ์ (UNIX) - 1) ดอส
เป็น ซอฟต์แวร์จัด ระบบ งาน ที่ พัฒนา มา นาน แล้ว การ ใช้ งาน จึง ใช้ คำ สั่ง เป็น ตัว อักษร ดอสเป็น ซอฟต์แวร์ที่ รู้ จัก กัน ดี ใน หมู่ ผู้ ใช้ ไมโคร คอมพิวเตอร์ - 2) วินโดวส์ เป็น
ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ พัฒนา ต่อ จากดอส เพื่อ เน้น การ ใช้ งาน ที่ ง่ายขึ้น สามารถ ทำ งาน หลาย งาน พร้อม กัน ได้ โดย งาน แต่ ละ งาน จะ อยู่ ใน กรอบ ช่อง หน้า ต่าง ที่ แสดง ผล บน จอ ภาพ การ ใช้ งาน เน้น รูป แบ บก รา ฟิก ผู้ ใช้ งาน สามารถ ใช้ เมาส์เลื่อน ตัว ชี้ ตำแหน่ง เพื่อ เลือก ตำแหน่ง ที่ปรากฏบน จอ ภาพ ทำ ให้ ใช้ งาน คอมพิวเตอร์ ได้ ง่าย วินโดวส์จึง ได้ รับ ความ นิยม ใน ปัจจุบัน - 3) โอ
เอสทู เป็น ระบบ ปฏิบัติ การ แบบ เดียวกับวินโดว์ส แต่ บริษัท ผู้ พัฒนา คือ บริษัท ไอบีเอ็ม เป็น ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ ให้ ผู้ ใช้ สามารถ ใช้ ทำ งาน ได้ หลาย งาน พร้อม กัน และ การ ใช้ งาน ก็ เป็น แบ บก รา ฟิก เช่น เดียวกับวินโดวส ์ - 4) ยูนิกซ์
เป็น ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ พัฒนา มา ตั้ง แต่ ครั้ง ใช้กับเครื่องมิ นิ คอมพิวเตอร์ ระบบปฎิบัติ การยูนิกซ์เป็น ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ สามารถ ใช้ งาน ได้ หลาย งาน พร้อม กัน และ ทำ งาน ได้ หลาย ๆ งาน ใน เวลา เดียว กัน ยูนิกซ์จึง ใช้ ได้กับเครื่องที่ เชื่อม โยง และ ต่อกับเครื่อปลาย ทางได้ หลายเครื่องพร้อม กัน - ระบบ
ปฏิบัติ การ ยัง มี อีก มาก โดย เฉพาะ ระบบ ปฏิบัติ การ ที่ ใช้ ใน เครือ ข่าย คอมพิวเตอร์ เพื่อ ให้ คอมพิวเตอร์ ทำ งาน ร่วม กัน เป็น ระบบ เช่น ระบบ ปฏิบัติ การเน็ตแวร์ วินโดว์สเอ็น ที - ระบบ
- ตัว
แปล ภาษา - ใน
การ พัฒนา ซอฟต์แวร์จำ เป็น ต้อง มี ซอฟต์แวร์ที่ ใช้ ใน การ แปล ภาษา ระดับ สูง เพื่อ แปล ภาษา ระดับ สูง ให้ เป็น ภาษาเครื่อง ภาษา ระดับ สูง มี หลาย ภาษา ภาษา ระดับ สูง เหล่า นี้ สร้าง ขึ้น เพื่อ ให้ ผู้ เขียน โปรแกรม เขียน ชุด คำ สั่ง ได้ ง่าย เข้า ใจ ได้ ตลอด จน ถึง สามารถ ปรับ ปรุง แก้ ไข ซอฟต์แวร์ใน ภาย หลัง ได้ - ภาษา
ระดับ สูง ที่ พัฒนา ขึ้น มา ทุก ภาษา จะ ต้อง มี ตัว แปล ภาษา สำหรับ แปล ภาษา ภาษา ระดับ สูง ซึ่ง เป็น ที่ รู้ จัก และ นิยม กัน มาก ใน ปัจจุบัน เช่น ภาษา ปาสคาล ภาษาเบสิก ภาษา ซี และ ภาษาโลโก - 1) ภาษา
ปาสคาล เป็น ภาษา สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ ที่ มี รูป แบบ เป็น โครง สร้าง เขียน สั่ง งาน คอมพิวเตอร์ เป็น กระบวน ความ ผู้ เขียน สามารถ แบ่ง แยก งาน ออก เป็น ชิ้น เล็ก ๆ แล้ว มา รวม กัน เป็น โปรแกรม ขนาด ใหญ่ ได้ - 2) ภาษาเบสิก
เป็น ภาษา ที่ มี รูป แบบ คำ สั่ง ไม่ ยุ่ง ยาก สามารถ เรียน รู้ และ เข้า ใจ ได้ ง่าย มี รูป แบบ คำ สั่ง พื้น ฐาน ที่ สามารถ นำ มา เขียน เรียง ต่อ กัน เป็น โปรแกรม ได้ - 3) ภาษาซ
ี เป็น ภาษา ที่ เหมาะ สำหรับ ใช้ ใน การ พัฒนา ซอฟต์แวร์อื่น ๆ ภาษา ซี เป็น ภาษา ที่ มี โครง สร้าง คล่อง ตัว สำหรับ การ เขียน โปรแกรม หรือ ให้ คอมพิวเตอร์ ติดต ่อกับอุปกรณ์ ต่าง ๆ - 4) ภาษาโลโก
เป็น ภาษา ที่ เหมาะ สำหรับ การ เรียน รู้ และ เข้า ใจ หลัก การ โปรแกรม ภาษาโลโก ได้ รับ การ พัฒนา สำ หรับ เด็ก - นอก
จาก ภาษา ที่ กล่าว ถึง แล้ว ยัง มี ภาษา คอมพิวเตอร์ ที่ ใช้ กัน อยู่ ใน ปัจจุบัน อีก มาก มาย หลาย ภาษา เช่น ภาษาฟอร์แทรน ภาษา โค บอล ภาษา อาร์พีจ ี - ใน
| ซอฟท์แวร์ |
- ซอฟต์แวร์สำเร็จ
- ใน
บรรดา ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ที่ มี ใช้ กัน ทั่ว ไป ซอฟต์แวร์สำเร็จ (package) เป็น ซอฟต์แวร์ที่ มี ความ นิยม ใช้ กัน สูง มาก ซอฟต์แวร์สำเร็จ เป็น ซอฟต์แวร์ที่ บริษัท พัฒนา ขึ้น แล้ว นำ ออก มา จำหน่าย เพื่อ ให้ ผู้ ใช้ งาน ซื้อ ไป ใช้ ได้ โดย ตรง ไม่ ต้อง เสีย เวลา ใน การ พัฒนา ซอฟต์แวร์อีก ซอฟต์แวร์สำเร็จ ที่ มี จำหน่าย ใน ท้อง ตลาด ทั่ว ไป และ เป็น ที่ นิยม ของ ผู้ ใช้ มี 5 กลุ่ม ใหญ่ ได้ แก่ ซอฟต์แวร์ประมวล คำ (word processing software) ซอฟต์แวร์ตา ราง ทำ งาน (spread sheet software) ซอฟต์แวร์จัด การ ฐาน ข้อ มูล (data base management software) ซอฟต์แวร์นำ เสนอ (presentation software) และ ซอฟต์แวร์สื่อ สาร ข้อ มูล (data communication software) - 1) ซอฟต์แวร์ประมวล
คำ เป็น ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ใช้ สำหรับ การ พิมพ์ เอก สาร สามารถ แก้ ไข เพิ่ม แทรก ลบ และ จัด รูป แบบ เอก สาร ได้ อย่าง ดี เอก สาร ที่ พิมพ์ ไว้ จัด เป็น แฟ้ม ข้อ มูล เรียก มา พิมพ์ หรือ แก้ ไข ใหม่ ได้ การ พิมพ์ ออก ทางเครื่องพิมพ์ ก็ มี รูป แบบ ตัว อักษร ให้ เลือก หลาย รูป แบบ เอก สาร จึง ดู เรียบ ร้อย สวย งาม ปัจจุบัน มี การ เพิ่ม ขีด ความ สามารถ ของ ซอฟต์แวร์ประมวล คำ อีก มาก มาย ซอฟต์แวร์ประมวล คำ ที่ นิยม อยู่ ใน ปัจจุบัน เช่น วินส์เวิร์ด จุฬา จารึก โลตัสเอ มิ โป ร - 2) ซอฟต์แวร์ตา
ราง ทำ งาน เป็น ซอฟต์แวร์ที่ ช่วย ใน การ คิด คำนวณ การ ทำ งาน ของ ซอฟต์แวร์ตา ราง ทำ งาน ใช้ หลัก การ เสมือน มี โต๊ะ ทำ งาน ที่ มี กระดาษ ขนาด ใหญ่ วาง ไว้ มีเครื่องมือ คล้าย ปากกา ยาง ลบ และเครื่องคำนวณ เตรียม ไว้ ให้ เสร็จ บน กระดาษ มี ช่อง ให้ ใส่ ตัว เลข ข้อ ความ หรือ สูตร สามารถ สั่ง ให้ คำนวณ ตาม สูตร หรือ เงื่อน ไข ที่ กำหนด ผู้ ใช้ ซอฟต์แวร์ตา ราง ทำ งาน สามารถ ประยุกต์ ใช้ งาน ประมวล ผล ตัว เลข อื่น ๆ ได้ กว้าง ขวาง ซอฟต์แวร์ตา ราง ทำ งาน ที่ นิยม ใช้ เช่น เอก เซล โลตั ส - 3) ซอฟต์แวร์จัด
การ ฐาน ข้อ มูล การ ใช้ คอมพิวเตอร์ อย่าง หนึ่ง คือ การ ใช้ เก็บ ข้อ มูล และ จัด การกับข้อ มูล ที่ จัด เก็บ ใน คอมพิวเตอร์ จึง จำ เป็น ต้อง มี ซอฟต์แวร์จัด การ ข้อ มูล การ รวบ รวม ข้อ มูล หลาย ๆ เรื่อง ที่ เกี่ยว ข้อง กัน ไว้ ใน คอมพิวเตอร์ เรา ก็ เรียก ว่า ฐาน ข้อ มูล ซอฟต์แวร์จัด การ ฐาน ข้อ มูล จึง หมาย ถึง ซอฟต์แวร์ที่ ช่วย ใน การ เก็บ การ เรียก ค้น มา ใช้ งาน การ ทำ ราย งาน การ สรุป ผล จาก ข้อ มูล ซอฟต์แวร์จัด การ ฐาน ข้อ มูล ที่ นิยม ใช้ เช่น เอก เซส ดี เบส พา ราด็อก ฟ๊อก เบส - 4) ซอฟต์แวร์นำ
เสนอ เป็น ซอฟต์แวร์ที่ ใช้ สำหรับ นำ เสนอ ข้อ มูล การ แสดง ผล ต้อง สามารถ ดึง ดูด ความ สน ใจ ซอฟต์แวร์เหล่า นี้ จึง เป็น ซอฟต์แวร์ที่ นอก จาก สามารถ แสดง ข้อ ความ ใน ลักษณะ ที่ จะ สื่อ ความ หมาย ได้ ง่ายแล้ว จะ ต้อง สร้าง แผน ภูมิ กราฟ และ รูป ภาพ ได้ ตัว อย่าง ของ ซอฟต์แวร์นำ เสนอ เช่น เพาเวอร์พอยต์ โลตัสฟรี แลนซ์ ฮาร์วาร์ดก รา ฟิก - 5) ซอฟต์แวร์สื่อ
สาร ข้อ มูล ซอฟต์แวร์สื่อ สาร ข้อ มูล นี้ หมาย ถึง ซอฟต์แวร์ที่ จะ ช่วย ให้ ไมโคร คอมพิวเตอร์ ติด ต่อ สื่อ สารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ อื่น ใน ที่ ห่าง ไกล โดย ผ่าน ทางสาย โทรศัพท์ ซอฟต์แวร์สื่อ สาร ใช้ เชื่อม โยง ต่อ เข้ากับระบบ เครือ ข่าย คอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต ทำ ให้ สามารถ ใช้ บริการ อื่น ๆ เพิ่ม เติม ได้ สามารถ ใช้ รับ ส่ง ไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์ ใช้ โอน ย้าย แฟ้ม ข้อ มูล ใช้ แลก เปลี่ยน ข้อ มูล อ่าน ข่าว สาร นอก จาก นี้ ยัง ใช้ ใน การ เชื่อม เข้า หา มิ นิ คอมพิวเตอร์ หรือเมนเฟรม เพื่อ เรียก ใช้ งาน จากเครื่องเหล่า นั้น ได้ ซอฟต์แวร์สื่อ สาร ข้อ มูล ที่ นิยม มี มาก มาย หลาย ซอฟต์แวร์ เช่น โปรคอม ครอสทอล์ค เท ลิ ก - ใน
- ซอฟต์แวร์ใช้
งาน เฉพาะ - การ
ประยุกต์ ใช้ งาน ด้วย ซอฟต์แวร์สำเร็จ มัก จะ เน้น การ ใช้ งาน ทั่ว ไป แต่ อาจ จะ นำ มา ประยุกต์ โดย ตรงกับงาน ทางธุรกิจ บาง อย่าง ไม่ ได้ เช่น ใน กิจ การ ธนาคาร มี การ ฝาก ถอน เงิน งาน ทางด้าน บัญชี หรือ ใน ห้าง สรรพ สิน ค้า ก็ มี งาน การ ขาย สิน ค้า การ ออก ใบ เสร็จ รับ เงิน การ ควบ คุม สิน ค้า คง คลัง ดัง นั้น จึง ต้อง มี การ พัฒนา ซอฟต์แวร์ใช้ งาน เฉพาะ สำหรับ งาน แต่ ละ ประเภท ให้ ตรงกับความ ต้อ งการ ของ ผู้ ใช้ แต่ ละ ราย - ซอฟต์แวร์ใช้
งาน เฉพาะ มัก เป็น ซอฟต์แวร์ที่ ผู้ พัฒนา ต้อง เข้า ไป ศึกษา รูป แบบ การ ทำ งาน หรือ ความ ต้อง การ ของ ธุรกิจ นั้น ๆ แล้ว จัด ทำ ขึ้น โดย ทั่ว ไป จะ เป็น ซอฟต์แวร์ที่ มี หลาย ส่วน รวม กัน เพื่อ ร่วม กัน ทำ งาน ซอฟต์แวร์ใช้ งาน เฉพาะ ที่ ใช้ กัน ใน ทางธุรกิจ เช่น ระบบ งาน ทางด้าน บัญชี ระบบ งาน จัด จำหน่าย ระบบ งาน ใน โรง งาน อุตสาหกรรม บริหาร การ เงิน และ การเช่าซื้อ - ความ
ต้อง การ ของ การ ใช้ คอมพิวเตอร์ ใน งาน ทางธุรกิจ ยัง มี อีก มาก ดัง นั้น จึง ต้อง มี ความ ต้อง การ ผู้ พัฒนา ซอฟต์แวร์เพื่อ พัฒนา ซอฟต์แวร์ใช้ งาน เฉพาะ ต่าง ๆ อีก มาก มาย - การ
| ซอฟท์แวร์ |
| ชนิด |
| ซอฟท์แวร์ |
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
งานชิ้นที่2
1. เกร็ดความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
"อินเทอร์เน็ต" หรือที่เรามักเรียกกันย่อๆ ว่า "เน็ต" นั้น เป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เชื่อมคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายที่อยู่ในประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน เริ่มแรกพัฒนาเพื่อปฏิบัติภารกิจทางการทหารในสหรัฐฯ ปัจจุบันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการให้บริการต่างๆ เช่น อีเมล์ เทลเน็ต ไออาร์ซี เป็นต้น โดยบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีคนรู้จักมากที่สุด ก็คือเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web)
หลายคนมักสับสนคิดว่า "อินเตอร์เน็ต" กับ "เวิลด์ไวด์เว็บ" เป็นตัวเดียวกันความจริงแล้ว "เวิลด์ไวด์เว็บ" เป็นเพียงบริการหนึ่งบนอินเตอร์เน็ตเท่านั้น พัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปี 1993 มีลักษณะเด่นคือ ความสามารถในการเชื่อมเอกสารหลายไฟล์เข้าด้วยกันผ่านทางตัวเชื่อมหรือไฮ เปอร์เท็กซ์ (หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ลิงก์") ขณะนี้เวิลด์ไวด์เว็บกลายเป็นช่องทางทำธุรกิจที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่ง ทั้งในด้านการประชาสัมพันธ์บริษัท และเป็นช่องทางจำหน่ายสินค้า แนะนำบริการ โฆษณา ฯลฯ
"เว็บเพจ" คือหน้าเอกสารที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในเวิลด์ไวด์เว็บ โดยมากภาษาที่ใช้เป็นโครงสร้างหลักสำหรับเว็บเพจ คือ HTML (Hyper Text Markup Language) นอกจากนี้ยังมีจาวาสคริปต์ และแคสเคดดิ้ง สไตล์ชีต ที่นิยมใช้เพื่อช่วยจัดหน้าเว็บเพจให้สวยงามและโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ดีขึ้น หน้าเอกสารทุกหน้าเราจะเรียกว่า เป็นเว็บเพจได้ทั้งหมด ไม่ว่าหน้านั้นๆ จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีใดก็ตาม เมื่อรวมหลายเว็บเพจเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นเว็บไซต์ "เว็บไซต์" เป็นชื่อเรียกเว็บเพจหลายๆ หน้าที่อยู่ภายใต้เว็บแอสเดรสเดียวกัน โดยในหนึ่งเว็บไซต์จะมีจำนวนเว็บเพจกี่หน้าก็ได้ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่ว่าเว็บเพจทั้งหมด อยู่ภายใต้ที่อยู่เดียวกันเช่น www.doae.go.th (เว็บไซต์นอกจากจะมีเว็บเพจแล้ว ยังมีส่วนอื่นๆ ประกอบได้ เช่น ฐานข้อมูล ไฟล์สคริปต์ เป็นต้น)
"โฮมเพจ" หมายถึง เว็บเพจหน้าแรกของเว็บไซด์หนึ่งๆ ก็คือ เมื่อคุณพิมพ์เว็บแอดเดรส ของเว็บไซด์ใดๆ ลงไป เช่น www.doae.go.th หน้าเว็บเพจแรกทีโหลดขึ้นมาเราเรียกว่า เป็นหน้า โฮมเพจ โดยมากชื่อไฟล์ที่เป็นหน้าโฮมเพจจะใช้ชื่อว่า index.html หรือ index.htm คนไทยหลายคนนิยมเรียกหน้าโฮมเพจว่า "หน้าบ้าน"
ปัจจุบันมีหลายคนที่มักสับสนกับการใช้คำว่า เว็บเพจ เว็บไซด์ และโฮมเพจ โฆษณาหลายแห่งลงประกาศรับจ้างสร้างโฮมเพจ ถ้าแปลกันตรงๆ หมายถึงว่า เขารับจ้างสร้างกันแค่หน้าโฮมเพจ หน้าเดียว หน้าเว็บเพจอื่นๆ ไม่รับ? บางคนใช้เว็บไซด์แทนเว็บเพจ ใช้โฮมเพจแทนเว็บไซด์ ปนกันไป อย่างไรก็ดีคนไทยหลายคนคุ้นเคยกับคำว่า โฮมเพจ มากกว่า เว็บเพจ ดังนั้นการสื่อสารกับคนไม่เข้าใจบางครั้งต้องระวัง หากต้องการจะสื่อกันให้เข้าใจอย่างรวดเร็ว อาจต้องใช้คำว่า โฮมเพจ แต่หากจะให้เข้าใจและเรียกได้อย่างถูกต้อง คงต้องมานั่งอธิบายข้อแตกต่างระหว่างคำทั้งสองคำให้กับบุคคลนั้นๆ ฟัง
สร้างเว็บเพจยากเหมือนกับการเขียนโปรแกรมหรือไม่ ?
หลาย คนกลัวการเขียนโปรแกรม บางคนเคยศึกษามาแต่ไม่รู้เรื่อง บางคนไม่เคยสัมผัส แต่ก็ได้ยินเขาเล่ามาว่า มันยากก็เลยนึกกลัวไปด้วย การสร้างเว็บเพจด้วยตัวเอง รับประกันได้เลยว่าง่ายและเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าการเขียนโปรแกรมมาก เพียงมีเวลาให้สักหนึ่งวันก็สามารถจะสร้างเว็บเพจได้ด้วยตนเอง โปรแกรมหรือภาษาที่ใช้สำหรับการจัดทำเว็บเพจก็ใช้งานได้ง่ายดาย คำสั่งของภาษา HTML ที่ใช้โดยมากสื่อความหมายได้ดี และถ้าหากพอจะมีความรู้ในด้านเวิร์ดโพรเซสซิ่งมาบ้าง ก็น่าจะเข้าใจคำสั่งโปรแกรมการสร้าง HTML ได้โดยไม่ลำบากมากนัก ตัวอย่างเช่น <B> หมายถึง Bold ใช้สร้างตัวหนา, <P> หมายถึง Paragraph ใช้แบ่งย่อหน้า, <FONT> นี่ใช้ตรงๆ ตัว ใช้สำหรับจัดการเกี่ยวกับรูปแบบอักษร หรือ <TABLE> ใช้สำหรับสร้างตาราง เป็นต้น
ลักษณะของภาษา HTML ที่ใช้สร้างโครงสร้างของเว็บเพจนั้น เป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย ใช้เวลาไม่น่าเกินสองสัปดาห์ก็เรียนรู้คำสั่งได้เกือบทั้งหมด ตัวภาษา HTML เองจะมีลักษณะพิเศษ คือคำสั่งทุกตัวต้องถูกเก็บอยู่ในเครื่องหมาย < และ > เช่น <FONT> โดยคำสั่งส่วนใหญ่ต้องมีตัวปิดท้ายด้วย โดยเติมเครือ่งหมาย / เพิ่มเข้าไป เช่น </FONT> ดังนั้นสมมุติว่าเราต้องการสร้างตัวหนา ก็เพียงแค่ใส่ <B> และ </B> ปิดหัวท้ายข้อความที่ต้องการทำให้เป็นตัวหนา เช่น <B> ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซด์กรมส่งเสริมการเกษตร </B> เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ความยากในการเขียนเว็บเพจนั้นอยู่ที่การนำเอาคำสั่ง HTML มาใช้ร่วมกันให้ได้ หน้าเว็บเพจที่ลงตัว สวยงามและใช้งานง่ายๆ แค่สร้าง ใครๆ ก็ทำได้ แต่สร้างให้ดีอันนี้คงต้องใช้เวลา นอกจากนี้ในปัจจุบันเว็บเพจมีความซับซ้อนมากขึ้น เทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างเว็บเพจมีเพิ่มมากขึ้น ที่กำลังได้รับความนิยม คือ CSS (Cascading Style Sheet) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการออกแบบสไตล์ของเว็บเพจ เช่น สีอักษร ระยะห่างบรรทัด ชนิดฟอนท์ เส้นขอบตาราง ฯลฯ โดย CCS จะเข้ามาทำหน้าที่แทนคำสั่งบางคำสั่งของ HTML (คาดว่านักออกแบบเว็บ จะใช้ CSS อย่างเต็มที่อีกประมาณ 5 ปีข้างหน้า) อีกตัวหนึ่งที่แรงมานานก่อนหน้า CSS ก็คือ จาวาสคริปต์ ใช้สำหรับสร้างลูกเล่นให้กับเว็บเพจ เช่น สร้างกรอบโต้ตอบ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ คำสั่งจาวาสคริปต์มีมากกว่า HTML พอสมควร ยากกว่า และต้องใช้เวลาศึกษามากว่า พื้นฐานโครงสร้างของจาวาสคริปต์มาจากภาษาซี แต่เป็นภาษาซีแบบกลายพันธุ์ มีประสิทธิภาพด้อยกว่า ไม่ต้องคอมไพล์ แต่เขียนเป็นลักษณะสคริปต์แทน (คล้าย HTML แต่ดูสับสนกว่านิดหน่อย)
สรุปก็คือ โดยรวมไม่ว่าจะเป็น HTML, CSS หรือจาวาสคริปต์ ทั้งหมดรับรองได้ว่าไม่ยากเท่ากับการเขียนโปรแกรมแน่นอน ตัวโครงสร้างของภาษา สำหรับเว็บเหล่านี้มีความยืดหยุ่นกว่าภาษาโปรแกรมมิ่งในหลายๆ ด้าน เรียนง่ายและเป็นเร็ว หากใครยังคงกลัวว่ามันจะยาก ก็ลองเข้าไปสัมผัสมันดูสักระยะแล้วจะทราบความจริงว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิด
จะสร้างเว็บเพจต้องเตรียมการอะไรบ้าง?
ถ้า เอาแบบพื้นๆ ก็มีอยู่เพียงสองอย่าง คือ เครื่องมือสำหรับสร้างเว็บเพจ และบราวเซอร์สำหรับแสดงผล แต่หากจะให้ครบถ้วนทั้งหมดคงต้องเพิ่มคู่มือคำสั่ง ตารางสี โปรแกรมตกแต่งภาพ ฯลฯ แล้วแต่ว่าสิ่งที่คุณจะทำมีอะไรบ้าง
บราวเซอร์ที่ใช้ควรเป็นบราวเซอร์รุ่นที่มีคนนิยมใช้กันมาก เช่น IE 4.x, IE 5.X, Netscape 4.X เป็นต้น ส่วนจะชอบตัวไหนเป็นพิเศษคงไม่มีผลเท่าไรกับเว็บเพจแบบพื้นๆ แต่หากเป็นเว็บที่ซับซ้อนมากขึ้น การแสดงผลของบราวเซอร์แต่ละตัวอาจแตกต่างกัน ดังนั้นทางที่ดีควรจะมีบราวเซอร์ดังๆ ติดตั้งไว้ในเครื่องให้ครบ
ส่วนเครื่องมือสำหรับสร้างเว็บนั้นหากจะใช้การเขียนด้วยภาษา HTML และเป็นคนที่เพิ่งศึกษาครั้งแรก แนะนำให้ใช้โน้ตแพ็ดที่ติดมากับวินโดวส์จะดีที่สุด หัดกันตั้งแต่เขียนโค้ด HTML ด้วยตัวเอง ยอมเสียเวลาเพียงแค่ไม่เกิน 2 สัปดาห์หรือ ไม่น่าเกิน 20 ชั่วโมง น่าจะศึกษาคำสั่งที่จำเป็นได้ครบทั้งหมด สำหรับเครื่องมือที่ใช้เขียนโค้ดด้วยตัวเองก็มีตั้งแต่โน้ตแพด เวิร์ดแพด ไมโครซอฟต์เวิร์ด หรือโปรแกรมเวิร์ด โพรเซสซิ่งอื่นๆ เพียงแค่เลือกบันทึกให้เป็นส่วนขยาย .html ก็ใช้ได้แล้ว ขอแนะนำพิเศษให้ตัวหนึ่งคือ EditPlus เป็นโปรแกรมขนาดเล็ก มีเครื่องมือช่วยเหลือสำหรับเขียนโค้ด HTML อยู่พอสมควร แบ่งสีระหว่างคำสั่งกับเนื้อหาได้ มีบอกหมายเลขบรรทัด ฯลฯ
เครื่องมือสร้างเว็บเพจอีกประเภทหนึ่งจัดเป็นประเภทโปรแกรมสำเร็จรูปแบบ WYSIWYG (What You See Is What You Get) สิ่งที่คุณเห็นบนโปรแกรมสร้างเว็บเพจ จะค่อนข้างเหมือนกับสิ่งที่จะแสดงบนบราวเซอร์ โปรแกรมประเภทนี้ช่วยให้เราสร้างเว็บเพจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งที่ซับซ้อน เช่น การสร้างตาราง หากเขียนโค้ดด้วยตัวเอง คุณต้องใช้ทั้ง <TABLE> <TR> <TD> และยังมีการตั้งค่าอื่นๆ อีกมากมาย เช่น BORDER, CELLPADDING, CELLSPACING ฯลฯ แต่หากใช้โปรแกรมประเภท WYSIWYG ซึ่งได้แก่โปรแกรม Microsoft Front Page, Netscape Composer, Dream Weaver, Pagemill, Hotdog, ฯลฯ จะสร้างได้อย่างง่ายดายโดยเพียงลากเส้นตีกรอบ ต่อเติมด้วยเส้นแบ่งซอยตาราง เพียงเท่านี้ตารางที่ต้องการก็เสร็จสมบูรณ์โดยไม่ต้องเขียนโค้ดเลย
ควรจะใช้วิธีเขียนโค้ดด้วยตัวเองดีหรือว่าจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเข้ามาช่วยสร้างเว็บเพจดี ?
เหมือน กับการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปจะง่ายกว่าการเขียนโค้ดด้วยตนเอง แต่ในหลายๆ ครั้ง โปรแกรมเหล่านี้ ก็สร้างเว็บเพจได้ไม่ตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ เบี้ยวซ้ายนิดขวาอีกหน่อย หากจะแก้ไขก็คงหลีกไม่พ้นต้องไปแก้ไขที่ตัวโค้ดของเว็บเพจ คือคุณต้องรู้และเข้าใจคำสั่ง HTML อยู่ดี รับประกันได้เลยว่า โฆษณาที่ประกาศใช้ซอฟต์แวร์สำหรับเว็บเพจได้โดยไม่ต้องเขียน โค้ด ยืนยันว่าเป็นจริงแค่ครึ่งเดียว หากสร้างเว็บเพจแบบเล่นๆ อาจพอได้ แต่หากเป็นเว็บเพจขององค์การใหญ่ๆ ที่ต้องการความถูกต้องสมบูรณ์แบบทุกรายละเอียด การแก้ไขโค้ดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย บริษัทรับสร้างและออกแบบเว็บเพจระดับมือโปรส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรมสองประเภท เกื้อหนุนกัน เริ่มแรกด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปแล้วตามตกแต่งเก็บรายละเอียดปลีกย่อยด้วยการ เขียนและแก้ไขโค้ดด้วยตนเอง
เว็บเพจที่ดีส่วนมากมีอะไรเป็นองค์ประกอบบ้าง ? ปัจจัยที่ เกี่ยวข้องมีหลายอย่าง คนสร้างแต่ละคนมีสไตล์ที่แตกต่างกันไปในการจะทำให้เว็บเพจของตัวเองดูดีและ เป็นสากล แต่เสียดายที่ทำได้มีไม่มาก โดยรวมเว็บเพจที่ดูดีขององค์กร หรือบริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วย HTML เพียงอย่างเดียว แต่มี CSS กับ จาวาสคริปต์ผสมไปด้วย โค้ด HTML ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของเว็บเพจได้ทั้งหมด ทำให้ผู้ออกแบบเว็บต้องมีความรู้ในการดีไซน์และการสื่อสารค่อนข้างมาก ตั้งแต่การใช้สี การจัดวางข้อความและรูปภาพ การเล่นคำให้ดึงดูด ฯลฯ
รูปภาพบนเว็บเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการทำเว็บเพจดูดี รูปสวยและเข้ากับอารมณ์โดยรวมของเว็บไซต์และภาพพจน์ขององค์กร แต่มีหลายคนที่ตกม้าตายตอนสุดท้ายเพราะรูปภาพนั้นๆ มีขนาดใหญ่เกินไป เสียเวลาโหลดนานจนผู้ชมหงุดหงิดและปิดหน้าต่างทิ้งไปก่อนจะได้เห็น ซึ่งความเร็วในการโหลดเป็นปัจจัยหนึ่ง ลิงก์ต่างๆ บนเว็บเพจควรจะสื่อความหมายได้ถูกต้อง โครงสร้างการเชื่อมโยงต้องถูกวางอย่างเป็นระบบ เว็บเพจแต่ละหน้าภายในเว็บไซต์เดียวกัน ควรจะให้อารมณ์ที่เหมือนกัน
......เคล็ดลับง่ายๆ คือ ทำใจคุณให้เป็นกลาง แล้วสมมุติตัวเองเป็นผู้ใช้ นั่งดูเว็บเพจที่คุณออกแบบด้วยตัวเองอย่างละเอียด ใช้งานง่ายไหม มีตรงไหนแปลกๆ ตรงไหนไม่เข้าท่า ถ้าจะให้ดีลองให้เพื่อนๆมาช่วยกันดูแล้วเปิดโอกาสให้เขาวิจารณ์ได้อย่างเต็ม ที่ ก็จะได้เว็บเพจที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ.....
เคยเจอบางเว็บที่ดูกับบราวเซอร์ตัวหนึ่งก็สวยดี แต่พอดูด้วยบราวเซอร์อีกตัวหนึ่งกลับดูไม่ได้เกิดอะไร และมีข้อควรระวังหรือไม่ ?
ปัญหา ที่นักออกแบบเว็บมือใหม่มักจะเจอกันเป็นประจำหลายคนใช้บราวเซอร์อยู่ตัว เดียว ขณะนี้ Internet Explorer (IE) จากไมโครซอฟท์ครองตลาดบราวเซอร์ไปได้เกินครึ่ง แต่ผู้ใช้ Netscape Communicator ก็ยังมีอีกมาก สังเกตให้ดีจะเห็นว่า เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงทั่วไป เช่น Yahoo! , Microsoft , Netscape , Snap , Download.com , CNN , NBC ฯลฯ ทั้งหมดจะมีปัญหาเรื่องบราวเซอร์น้อยมาก สตูดิโอ สำหรับสร้างเว็บเหล่านี้จะมีบราวเซอร์เกือบครบทุกรุ่นทุกเวอร์ชัน ไล่ตั้งแต่ Netscape และ IE เวอร์ชั่น 3.0 ไล่มาจนถึงเวอร์ชันล่าสุดในปัจจุบัน บราวเซอร์เวอร์ชันใหม่ย่อมสามารถใส่ลูกเล่นเข้าไปได้มากกว่า แต่ลูกเล่นนั้นๆ จะต้องไม่ไปรบกวน นอกจากปัญหาเรื่องบราวเซอร์แล้ว ยังมีเรื่องความละเอียดของหน้าจอมอนิเตอร์ ปัจจุบันที่คนใช้กันมากๆ มีอยู่ด้วยกัน 3 ระดับ คือ 640 x 480 , 800 x 600 , 1024 x 768 โดยขนาด 800 x 600 มีคนใช้มากที่สุด แต่สำหรับเว็บไซต์ขนาดใหญ่ระดับมืออาชีพจะออกแบบเว็บเพจให้แสดงผลได้ดีที่ ความละเอียด 640 x 480 หรือไม่ก็ 800 x 600 หากออกแบบเว็บเพจบนหน้าจอที่ใช้ความละเอียดระดับ 1024 x 768 เมื่อนำไปดูผลบนจอที่ตั้งค่าความละเอียดไว้ต่ำกว่า จะทำให้ข้อมูลตามแนวกว้างแสดงผลได้ไม่พอดีกับความกว้างของบราวเซอร์ และผู้ใช้ต้องเลื่อนสกรอล์บาร์แนวนอนเพื่อดูข้อมูล เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวกต่อผู้ใช้สักเท่าไหร่ และมีปัญหาเรื่องสีเพี้ยน คงต้องระวังตอนเลือกสีสำหรับใช้ในรูปภาพให้ดี หากเป็นไปได้ควรเลือกสีในกลุ่ม 216 สีสำหรับบราวเซอร์โดยเฉพาะ
ภาษาไทยกับเว็บเพจ มักมีปัญหาในการใช้งาน ?
โดย มากวิธีการแสดงผลภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีมาตรการใดที่แก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ใน IE ผู้สร้างเว็บเพจสามารถตั้งค่าได้ว่า จะให้เว็บเพจนั้นๆ แสดงผลด้วยภาษาอะไร ภาษาไทยใช้รหัสว่า window-874 หากผู้ชมใช้ IE บราวเซอร์ก็จะแสดงผลภาษาไทยให้โดยอัตโนมัติ แต่คุณสมบัติดังกล่าวใช้ไม่ได้กับ Netscape แต่มีมาตรฐานภาษาไทยสำหรับเว็บอีกตัวหนี่ง คือ TIS-620 ซึ่งถูกใส่ไว้ใน Netscape 5.0 ขึ้นไป หากบราวเซอร์ทั้งสองตัวตกลงกันเรื่องมาตรฐานภาษาไทยที่จะใช้ได้ การสร้างเว็บภาษาไทยต่อไปในอนาคตคงทำได้สะดวกขึ้น
หนทางแก้ไขขณะนี้มีอยู่ 2 ทางด้วยกันสำหรับ IE แนะนำให้ใส่ <META HTTP-EQUIV="Content-Type" content = "text/html ; charset = window-874"> ไว้ที่ส่วน <HEAD> ของไฟล์ HTML แต่เพื่อให้หน้าเว็บเพจแสดงผลได้ดีกับ Netscape ด้วย ควรระบุรูปแบบและขนาดอักษรที่ใช้เอาไว้ทุกๆส่วนที่เป็นภาษาไทยบนเว็บเพจ จะระบุด้วยคำสั่ง <FONT> อักษรที่แนะนำให้ใช้คือ MS Sans Serif ซึ่งแสดงผลได้สวยงาม มีอยู่ในวินโดวส์ 9x ทุกรุ่น หากเราไม่กำหนดรหัส windows-874 หรือระบุฟอนต์ผ่านทาง <FONT> จะเกิดอะไรขึ้น? ผู้ใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้วิธีตั้งค่าและเปลี่ยนชุดอักษรจะไม่สามารถอ่านภาษาไทยได้
อีกปัญหาหนึ่ง สำหรับคนออกแบบเว็บคือการตัดคำภาษาไทยบนบราวเซอร์ ซึ่งปัจจุบันมีแค่ IE เวอร์ชั่นใหม่ๆ เท่านั้น ที่ทำได้ดีในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีหากเทียบกับ Netscape แล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามากเพราะ Netscape ตัดคำภาษาไทยไม่ได้เลย จะตัดเฉพาะตรงที่เป็นเว้นวรรคเท่านั้น
ถ้าสร้างเสร็จแล้ว จะเอาเว็บเพจไปแสดงผลได้อย่างไร ?
ถ้า แค่ต้องการให้เพื่อนสนิทดูเฉยๆก็ copy ใส่แผ่นดิสก์ไปให้ดูก็ได้ แต่หากอยากจะเผยแพร่ขึ้นสู่เวิลด์ไวด์เว็บก็แนะนำให้ไปสมัครสมาชิกขอพื้นที่ สร้างเว็บไซต์ฟรีได้จาก Geocities.com. Yod.net, Sanool.com , Yahoo.com , Xoom.com ฯลฯ วิธีสมัครก็ไม่ยาก กรอกแบบฟอร์มตามที่แต่ละแห่งจัดเตรียมแบบการลงทะเบียนไว้ให้เสร็จ ก็ส่งไฟล์ (อัพโหลด) ขึ้นสู่เว็บไซต์ที่ไปสมัครสมาชิกไว้ได้เลย ซึ่งตรงนี้ขอแนะนำว่าควรมีการสร้างเว็บไซต์ไว้ให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปสมัคร ขอพื้นที่ จะได้เห็นผลงานได้ทันทีเลย หากเว็บไซต์ยังสร้างแบบไม่เสร็จจะทำให้ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถปิดตัวหรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นเข้าเยี่ยมชมได้
ส่วนวิธีอัพโหลดไฟล์นั้นสำหรับผู้ให้บริการบางแห่ง เช่น Geocities จะมีบริการให้อัพโหลดไฟล์ผ่านทางบราวเซอร์ได้ ใช้งานง่ายและสะดวกอย่างยิ่งโดยเฉพาะการอัพโหลดไฟล์จำนวนไม่มาก หรือถ้าไม่มีบริหารอัพโหลดไว้ให้คงต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมอย่าง MS_FTP หรือ CuteFTP มาใช้แล้วลองศึกษาด้วยตนเอง เมื่อการนำไฟล์ขึ้นสู่เซิร์ฟเวอร์เรียบร้อย เพียงแค่บอกแอดเดรสของเว็บไซต์ของคุณก็เป็นอันเสร็จสิ้น
หวังว่านักส่งเสริมการเกษตรทั้งหลายคงได้หาโอกาสสร้างเว็บเพจนำเสนอข้อมูล ข่าวสารที่ท่านต้องการเผยแพร่ หรือประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นทราบโดยผ่านทางระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตกัน บ้าง แล้วท่านจะรู้สึกว่าองค์กรหรือหน่วยงานของท่านเปิดประตูต้อนรับและให้บริการ ผู้อื่นได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2. เกร็ดความรู้เชิงสร้างสรรค์
สร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้
“ทพ.กฤษ ดา”แนะเด็กและเยาวชนใช้ไอซีทีเป็นเครื่องมือเชิงสร้างสรรค์ ชี้ติดตามข่าวสารได้รวดเร็วกว่าสื่ออื่น ให้มองโจทย์ด้วยมุมมองใหม่ๆ และเชื่อมโยงกับภาคส่วนอื่น เชื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้
เมื่อ วันที่ 21 ตุลาคม 2553 ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวในการบรรยายพิเศษโครงการเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “เด็กหัวใส ฉลาดใช้ไอซีที”จัดโดย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ร่วมกับมูลนิธิสยามกัมมาจลว่า การ ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน ใช้ไอซีทีไปในเชิงสร้างสรรค์ และเกิดผลสำเร็จนั้น สิ่งสำคัญต้องเริ่มจากการสนับสนุนให้เด็กรู้จักการคิดนอกกรอบ ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา มีโครงการด้านไอซีที่น่าสนใจ เกิดจากการรวมตัวของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เชื่อว่าสังคมไทยมีองค์ความรู้มากมาย นำโดยคุณสุนิตย์ เชรษฐา กรรมการผู้จัดการสถาบัน Change Fusion (ใน ปัจจุบัน) ได้ ร่วมกันลงไปเก็บข้อมูลภูมิปัญญา องค์ความรู้ต่างๆ ในท้องถิ่น และนำมาผสมผสานกับระบบไอซีที จัดทำเป็นคลังภูมิปัญญาไทย ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นต้นแบบการจัดเก็บข้อมูลที่น่าสนใจและได้รับรางวัล ระดับประเทศ
ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า ดังนั้น สิ่งสำคัญของเด็ก และเยาวชน ในการใช้ไอซีทีเชิงสร้างสรรค์ต้องคิดให้ลึกมากขึ้น ตีโจทย์ให้แตก โดยอาจจะมองโจทย์จากรอบๆ ตัวเรา เช่น สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน ได้เห็นความเคลื่อนไหวในการนำไอซีทีมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างมาก โดยมีการรวมกลุ่มของเยาวชน ใน twitter ใช้ชื่อว่า @ThaiFlood ติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์ และอัพเดทข้อมูลตลอดเวลา อาทิ สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ ระดับน้ำ การให้ความช่วยเหลือฯลฯ ซึ่งมีการรายงานอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าสถานีโทรทัศน์เสียอีก
“การ นำไอซีทีเข้ามาทำให้การช่วยเหลือไปถึงชาวบ้านได้อย่างรวดเร็วและลดระดับความ เสียหายได้มากกว่า เหตุการณ์สึนามิ ซึ่งความช่วยเหลือเข้าไปได้ค่อนข้างล่าช้า ดังนั้น จะเห็นได้ว่า การนำไอซีทีมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน หรือต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพียงแค่มีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถทำให้การแก้ปัญหารวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น”ทพ.กฤษดากล่าว
ผู้ จัดการ สสส. กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากฝากเด็ก เยาวชนไว้ก็คือ เราต้องมองใหม่ว่าโจทย์อยู่ที่ไหน ต้องค้นหาให้เจอ โดยเฉพาะโจทย์ใกล้ๆ ตัวเรา เพราะเมื่อเยาวชนมองกันเองจะเห็นภาพที่ชัดเจนกว่าผู้ใหญ่ และสามารถสื่อสารกันเองได้ง่ายกว่า การมองเห็นโจทย์ คือ ต้องมองให้หลุดกรอบ มองโจทย์ในมุมใหม่ให้เชื่อมโยงกับภาคส่วนต่างๆ ขณะ นี้โลก และวิถีชีวิตของคนกำลังเปลี่ยนแปลง จากเดิมที่คนอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ ดูโทรทัศน์ หากต้องการเผยแพร่ข้อมูลก็ต้องเป็นข่าว ต้องใช้เงินซื้อโฆษณา แต่ขณะนี้ไม่ต้องแล้ว เพราะการใช้ไอซีทีเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ได้รับความสนใจอย่างมาก เช่น คลิปต่างๆ ในช่วงเวลาไม่นานมีคนสนใจเข้าไปดูจำนวนมาก บางคลิปเกิดเป็นกระแสสังคมก็มี
“สิ่ง เหล่านี้เด็ก เยาวชน ลงมือทำกันได้เอง ไม่ใช่เรื่องยาก แต่สามารถสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ในวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูลจะพบว่าในอดีต ย้อนหลังไป 5-6 ปี เด็กจะใช้ไอซีทีไปกับการบันเทิง เล่นเกม แต่ปัจจุบันเด็กใช้ไอซีทีไปในเชิงสร้างสรรค์ เรียนรู้มากขึ้น แต่ปัญหาคือ เนื้อหาสาระ ในเชิงบวกยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่จะต้องหาแนวทางนำเสนอต่อไป อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่า อนาคตของประเทศชาติอยู่ในมือเด็ก และเยาวชน ว่าจะออกแบบให้ประเทศ และโลกนี้น่าอยู่ได้อย่างไรต่อไป”ทพ.กฤษดากล่าว
